top of page

Chapter 1: Start Of Something New

เด็กหนุ่มทอดสายตามองท้องฟ้าอย่างนิ่งงั้น มือข้างหนึ่งเอื้อมไปหยิบหินที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วปาออกไป นัยน์ตาสีเขียวที่เคยสดใสนั่นดูเลื่อนลอยเล็กน้อย เขาลอบถอนหายใจอยู่หลายๆ ครั้ง ขณะเอนตัวพิงโขดหินใหญ่ สมองของเขาในตอนนี้กำลังนึกถึงภาพเหล่าคนสำคัญทั้งหลายที่เขาต้องสูญเสียไป

ตอนนี้เขารู้สึกว่า... เขาไม่เหลือใครแล้ว

“แฮร์รี นายโอเคนะ?”

ถ้อยคำกล่าวถามที่เพื่อนสนิททั้งสองของเขามักเอ่ยขึ้นในช่วงเวลา 1 – 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขาต้องกลับมาเรียนซ้ำชั้นเนื่องจาก ปี 7 นั้นแทบไม่ได้เรียนอะไรเลย ทำให้พวกเขาทุกคนต้องติดแหง็กอยู่ที่ฮอกวอตส์อีก 1 ปีเต็ม

แน่นอนว่าเวลาว่างส่วนใหญ่ของเขานั้นหมดไปกับการมานั่งคิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่ทะเลสาบแห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ดีมากในการนั่งทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง หรือกระทั่งการสงบจิตใจ ที่นี่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเหลือเกิน

นัยน์ตาสีเขียวดุจอัญมณีเม็ดงามค่อยๆ ปรือหลับลง ภาพการจากไปของแต่ละคน ค่อยๆ ไหลย้อนกลับมาเป็นฉากๆ ภายในใจรู้สึกเจ็บแปลบๆ เมื่อนึกถึง แต่เขาไม่สามารถลืมเลือนได้ น้ำใสๆ ไหลรินออกจากดวงตาข้างซ้าย ให้รู้ว่าหัวใจของเขากำลังร่ำไห้... เจ็บปวด... เจ็บปวดเหลือเกิน

และเป็นอีกครั้งที่เขาถอนหายใจแผ่วเบา มือปาหินออกไปด้วยแรงไม่มากนัก เพราะตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อย เหนื่อย... เหนื่อยเหลือเกิน

กระแสลมพัดผ่านกายของเขาไปอย่างแผ่วเบา ราวจะปลอบประโลมเขา ริมฝีปากอิ่มนั่นค่อยๆ ขยับกล่าวคำ ปรารถนาจะฝากถ้อยคำเหล่านี้ผ่านสายลมนี่ไป อบอุ่น... และหนาวเหน็บเกินกว่าจะทานทน มือซ้ายยกขึ้นเช็ดน้ำตาแผ่วเบา แม้จะรู้ว่าเช็ดไปก็ไม่ได้อะไร เมื่อน้ำตาเหล่านั้นยังคงไหลริน

เรื่องราวในอดีตถูกฉายซ้ำอยู่ในห้วงคำนึง เหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาเรียนในฮอกวอตส์ ภาพศาตราจารย์วิชาปรุงยาที่เขาได้พบครั้งแรกทำให้น้ำตาของเขาไหลอาบแก้ม ริมฝีปากเม้มแน่นไม่ให้ส่งเสียงสะอื้นออกมา เรื่องราวของชายคนนั้นฉายซ้ำไปมา จากที่เขาเคยเข้าใจชายคนนั้นผิดและรู้สึกไม่ชอบใจอยู่หลายๆ ครั้ง แต่ชายคนนั้นคอยปกป้องเขาตลอดเวลาโดยที่เขาไม่รู้ตัว

เขาไม่มีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณเลย...

 

“โอ้! ดูสิว่านั่นใคร... พ่อวีรบุรุษ ผู้รอดชีวิตของเรา... พอตตี้นี่นา หือม์ นี่นายร้องไห้? ดูไม่ได้เลยน้า ให้ตายสิ”

เสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นจากทางด้านหลังให้แฮร์รี่สะดุ้งไหวตัวหน่อยๆ ลืมตาโพลง แล้วรีบยกมือปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะหันขวับไปมองเจ้าของเสียง นัยน์ตาสีฟ้าซีดสบประสานกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตพอดี แฮร์รี่มุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้ากวนๆ ของเจ้าคนตรงหน้านี่ แล้วขยับริมฝีปาก

“...แอบนึกสงสัยว่านายจะกลับมาเรียนที่ฮอกวอตส์ด้วยทำไม ทั้งๆ ที่ตอนนั้น ก็กลัวจนหนีหายกันไปทั้งครอบครัวแท้ๆ...”

แฮร์รี่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางเลิกคิ้วตีหน้าสงสัย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเหยียดนิดๆ เมื่อเห็นใบหน้ากวนๆ นั้นแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย คิ้วของคนตรงหน้าขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนแทบเป็นเส้นตรง บ่งบอกอารมณ์กำลังโกรธของพ่อคนตรงหน้านี้ได้อย่างดี

“หมายความว่าไง พอตเตอร์”

เดรโก มัลฟอยกดเสียงต่ำลงด้วยความโกรธเคือง นัยน์ตาสีฟ้าซีดนั่นจ้องแฮร์รี่ราวจะกินเลือดกินเนื้อ ด้านแฮร์รี่ทำเพียงทอดสายตานิ่งเฉยมองอีกฝ่าย ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ ส่งให้ แล้วกล่าวตอบไป

“หมายความตามที่พูด”

“แก!!”

เดรโกถลาตัวเข้ามากระชากเสื้อของแฮร์รี่ดึงเข้ามาจ้องราวกับจะตะครุบเหยื่อได้ทุกเวลา ในขณะที่แฮร์รี่มองตอบอย่างไม่นึกสะทกสะท้าน นัยน์ตาสีเขียวสวยสดนั่นเรียบเฉยไม่เหมือนเดิม หลังจากที่เขาสูบเสียคนสำคัญหลายๆ คน เขาก็รู้สึกไม่มีความสุขตลอดเวลา

และดูเหมือนอีกฝ่ายจะจับสัมผัสทางสายตานั่นได้ เดรโกมุ่นคิ้วลงอีกนิด พลางกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ ตาจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ไม่นานนักก็หรี่ลง ริมฝีปากค่อยๆ เหยียดยิ้มเยาะเย้ยคนตรงหน้า เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นพร้อมคำกล่าวที่ราวกับเป็นมีดกรีดแทงหัวใจของแฮร์รี่ให้เจ็บช้ำกว่าเก่า

“หึ... นายเองก็ดูเหมือนจะสูญเสียคนที่รักไปมากมายเหมือนกันนี่นะ... เป็นยังไงล่ะความรู้สึกเหล่านั้น? มันออกจะดูสะใจดีใช่ไหมล่ะ? ไม่เหรอ? หึๆ... แต่สำหรับฉันมันดูน่าขบขันที่ได้เห็นนายแบบนี้นะ! ไม่สิ นายเองคงเจ็บปวดเหลือทนสินะ มองจากสายตาก็คงจะเดาได้ขึ้นมาบ้าง โธ่ พ่อวีรบุรุษที่ใครๆ ต่างก็ยกย่องกลับมานั่งซึมเศร้าเสียใจเมื่อคนที่รักตายจากไปกันหมด... เอ๊ะ!? ฉันควรจะเรียกว่าคนที่นายรักหรือว่าคนที่คอยให้ท้ายนายดีล่ะ หือม์?”

ตามจริงแล้วเดรโกเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้นะว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นมันแรงไป ถึงแม้จริงๆ แล้วเขาจะไม่ได้รู้สึกเกลียดแฮร์รี่อีกแล้วหลังจากที่พวกแฮร์รี่ได้ช่วยเขาออกจากเพลิงที่แครบระเบิดในห้องต้องประสงค์ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อแฮร์รี่เองก็เปลี่ยนไป

แต่ตัวเขาดันงี่เง่า ไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกออกมายังไง เพราะเขากับแฮร์รี่ก็เป็นคู่ปรับ คู่อริ คู่แค้นกันมาตลอด 7 ปี จู่ๆ จะให้พูดจาดีๆ ทำดีๆ ด้วยมันก็รู้สึกกระดากแปลกๆ ขึ้นมา สิ่งที่เขาทำออกไป พูดออกไปมันเลยเป็นไปตามนิสัยเสียอย่างนั้น

นัยน์ตาสีเขียวมรกตคู่งามไหววูบสั่นคลอน รู้สึกราวมีน้ำตาคลอหน่วย แฮร์รี่ยกมือขึ้นจับข้อมือของเดรโกแล้วดึงออกไปใบหน้าก้มลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นน้ำตาที่คลอเบ้าพร้อมจะไหลลงมาได้ทุกเมื่อ ทำให้ไม่ทันเห็นว่านัยน์ตาสีฟ้าอ่อนนั่นก็วูบไหวด้วยความเจ็บปวด และเต็มไปด้วยคำขอโทษ

“...จ... เจ็บใจสินะ” เดรโกพยายามเค้นเสียงพูด บังคับเสียงไม่ให้สั่นจนผิดสังเกต ทั้งๆ ที่ยังรู้สึกเจ็บแปลบๆ ในอก “หึ... แทงใจดำล่ะสิ... จะร้องไห้แล้วสินะ นี่น่ะหรือ? ผู้ถูกเลือกทีปราบจอมมารลงได้ หึ! น่าสมเพชจริงๆ”

น้ำเสียงเย้ยหยันนั่นทำให้แฮร์รี่เม้มริมฝีปากแน่น สองมือกำหมัดอย่างสะกดกลั้นอารมณ์โทสะที่เริ่มพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บ

“...หุบ... หุบปาก...ของนายไปซะ! …มัลฟอย”

แฮร์รี่เค้นเสียงพูดอย่างยากลำบากเมื่อต้องกลั้นเสียงสะอื้นที่พร้อมจะหลุดออกมาได้ทุกเมื่อหากเขายังปริปากพูดมากกว่านี้ มือเรียวทั้งสองข้างผลักร่างของคนตรงหน้าเต็มแรงจนอีกฝ่ายผงะเซเล็กน้อย แฮร์รี่รีบสาวเท้าเดินหนีอย่างรวดเร็ว พยายามไม่สนใจเสียงของคนเบื้องหลัง

“เฮ้! แน่จริงก็อย่าหนีสิ! กลัวรึไง พอตเตอร์!! หึ!!!”

เดรโกตะโกนไล่หลังแฮร์รี่ไป เมื่อร่างเพรียวนั้นลับสายตาเข้าไปในปราสาท เดรโกก็รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงหดหาย เขาทิ้งไหล่ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้านุ่ม พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองแรงๆ สักทีแล้วลดมือลงไปกำหมัดแน่น เขาร้องโอดครวญในใจ

เขานี่มัน แย่จริงๆ...

ริมฝีปากเรียวได้รูปนั่นเม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรง ภาพของแฮร์รี่สะท้อนเข้ามาในความคิด นัยน์ตาสีเขียวหม่นหมองนั่นส่องประกายความเจ็บปวด ราวตอกย้ำพฤติกรรมแย่ๆ ที่เขาได้ทำลงไป เดรโกสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนถอนออกมาเฮือก แล้วตัดสินใจลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในปราสาท

 

 

ห้องโถงกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยผู้คนมากมายต่างพูดคุยหยอกล้อขณะทานอาหาร เสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งห้องโถงดังเช่นปกติที่มันเป็น เสียงพูดคุยเซ็งแซ่สนุกปากของเด็กทุกๆ บ้านดังไปทั่ว แต่ไม่อาจเข้าโสดประสาทของร่างเพรียวบางได้

แฮร์รี่เดินเหม่อเข้ามาในห้องโถงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ที่ถูกเลื่อนอีกแล้ว เมื่อรุ่นพี่ต้องเขยิบให้รุ่นน้องปี 1 ทีเพิ่งเข้ามาใหม่ แฮร์รี่มองอาหารตรงหน้านิ่งโดยไม่คิดแตะต้อง ความเจ็บปวดยังคงสะท้อนชัดเจนอยู่ในดวงตาคู่สวยนั่น

 


สายตาสี่ห้าคู่... หรืออาจจะมากกว่านั้นจ้องมาที่เขาเป็นระยะๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว...

พูดให้ถูกคือเขาไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น...

“--รี่.... แฮร์รี่” เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นทางข้างซ้าย แต่เจ้าของร่างเพรียวบางนั้นกลับไม่รับรู้หรือได้ยิน

“แฮร์รี่” อีกเสียงหวานดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามด้วยความกังวล แต่เขาก็ยังคงนิ่งเฉยเหม่อลอยเช่นเดิม

“แฮร์รี่!” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางข้างขวาด้วยระดับเสียงที่สูงขึ้นกว่าสองเสียงแรกนั่น แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม

“แฮร์รี่!!!”

เฮือก!

แฮร์รี่สะดุ้งสุดตัวเมื่อทั้งสามตัดสินใจส่งเสียงดังประสานพร้อมๆ กัน ทำให้เพื่อนๆ ในโต๊ะกริฟฟินดอร์แถวนั้นที่เหลือบมองดูอยู่ต้องหันมาจ้องตรงๆ แฮร์รี่ผินใบหน้าตนไปมองเจ้าของเสียงทั้งสาม ซึ่งกำลังทำสีหน้ากังวลกัน แฮร์รี่มีอาการมึนงงเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือ?”

“นายเหม่อนะ... เป็นอะไร?” รอนถามด้วยสีหน้ากังวล เขาจ้องมองแฮร์รี่ ใช้สายตาสำรวจเพื่อนรักของเขา พยายามค้นหาสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามปิดกั้น แฮร์รี่รีบส่ายหน้าแล้วตอบว่าเปล่าทันที เฮอร์ไมโอนี่จึงเอ่ยถามบ้าง

“แต่เราสามคนเรียกเธอนานแล้วนะ... เธอดูเหม่อลอยมาก... เธอโอเคแน่นะแฮร์รี่?”

แฮร์รี่ทำเพียงพยักหน้าตอบรับ

“นายแน่ใจนะว่าโอเค? ฉันดูแล้วคิดว่าไม่...” เซมัสเอ่ยบ้าง แล้วทอดถอนหายใจพลางส่ายหน้าหน่อยๆ ถึงตรงนี้แฮร์รี่ก็กวาดตามองเด็กกริฟฟินดอร์ทั้งหลาย จึงได้สังเกตเห็นว่าทุกคนมองมาที่เขาอย่างเป็นห่วงและกังวล

แฮร์รี่สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนผ่อนออกมาเบาๆ แล้วฝืนยิ้มส่งให้ทุกคน

“ไม่...ฉันไม่เป็นไร...”

 

อีกทางด้านหนึ่งที่โต๊ะของสลิธีริน นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนซีดมองจ้องตรงมายังเด็กชายผู้ถูกเลือกนิ่ง สำรวจทุกอากัปกิริยาของเด็กคนนั้นเงียบๆ โดยเมินเสียงน่ารำคาญข้างๆ ตัวไปสิ้น สำหรับเขาทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน เพื่อนบ้านสลิธีรินของเขาเองก็ดูจะไม่ได้สนใจเลยว่าเขาเคยเป็นผู้เสพความตายมาก่อน

พวกเด็กบ้านอื่นๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจ ในเมื่อจอมมารจากไปแล้ว ไม่มีอะไรหรือใครที่ต้องหวาดกลัวอีก

สิ่งที่แปลกไปเห็นจะมีสองอย่างที่เขาสังเกตและรู้สึก คือตัวของเด็กชายผู้ถูกเลือกที่หลังจากสิ้นสงครามก็กลายเป็นคนพูดน้อย ทานน้อย สายตาของเด็กคนนั้นก็ดูจะว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ อากัปกิริยาก็ดูเหมือนจะนิ่งเฉยไม่สนใจสิ่งใดๆ แทบจะเป็นตุ๊กตาหรือหุ่นอยู่แล้ว

อีกสิ่งที่แปลกไปคือหัวใจของเขาเอง ทุกครั้งที่มองไปทางเด็กชาผู้ถูกเลือก หัวใจของเขาจะเต้นแรงอยากบอกไม่ถูก เขาถอนสายตาออกจากคนๆ นั้นไม่ได้เลย และทุกครั้งที่เห็นท่าทางนิ่งเฉยเหม่อลอย และนัยน์ตาสีเขียวหม่นด้วยความเจ็บปวดนั้น หัวใจของเขาก็ราวถูกบีบ รู้สึกอึดอัด เจ็บปวดแปลบๆ ไปหมด เขาไม่ชอบแบบนี้เลยสักนิด

“เฮ้อ...”

เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากริมฝีปากเรียวได้รูปของเดรโก เรียกให้เพื่อนสาวที่นั่งข้างเคียงผินใบหน้ามามองพลางเลือกคิ้วด้วยความแปลกใจ เห็นนัยน์ตาคู่คมสีฟ้าอ่อนซีดมองตรงไปยังจุดๆ หนึ่งอย่างแฝงความหมาย สายตาหล่อนจึงต้องมองตามไป เพื่อค้นพบว่าคนที่เดรโกมองอยู่คือใคร

“เป็นอะไรไปน่ะเดรโก? ...มองไปที่พอตเตอร์ทำไมกัน?”

แพนซี่ พากินสันกล่าวถามด้วยความสงสัย หล่อนเห็นเดรโกสะดุ้งไหวตัวหน่อยๆ แล้วหันมามองเจ้าหล่อนด้วยสายตาก้าวร้าวที่แฝงความแตกตื่น เจ้าตัวรีบส่ายหน้ารัวๆ เชิงบอกว่าไม่มีอะไร มือพลางตักอาหารเข้าปาก โดยไม่ปริปากพูด ตาทั้งสองของเดรโกเลื่อนกลับจับจ้องมองเด็กชายผู้รอดชีวิตอีกครั้ง

แพนซี่ส่ายหน้า อันที่จริงหล่อนน่ะสังเกตเดรโกมาหลายครั้งแล้ว เดรโกชอบมองไปทางแฮร์รี่ พอตเตอร์เสมอๆ ตั้งแต่ปี 1 สายตาที่เดรโกใช้จับจ้องก็ดูจะต่างจากที่ใช้มองคนอื่นๆ ตาสีฟ้าอ่อนทั้งสองมักส่องประกายแววบางอย่างที่มีความหมายแฝงทุกครั้งที่แอบมองเด็กคนนั้น

ครั้งนี่ก็เหมือนกัน แต่ต่างจากครั้งก่อนๆ ก็ตรงที่สายตาที่ใช้จ้องมองเด็กคนนั้นฉายแววที่มีความแฝงสลับกับความเจ็บปวดจางๆ ที่หล่อนเห็นแล้วต้องมุ่นคิ้ว และเมื่อมองไปทางเด็กคนนั้น เห็นว่าอาการของเขาเองก็ดูจะไม่ค่อยดีตั้งแต่สิ้นสงคราม

“เฮ้อ...”

“เฮ้อออ”

ทั้งแพนซี่และเดรโกถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กัน แต่คนละสาเหตุ เรียกให้สายตาของอีกหนึ่งชายหนุ่มที่กำลังตักอาหารเข้าปากต้องเหลือบมามองอย่างสงสัย แต่ไม่ได้ทักอะไร เพราะคงเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อน และเขายังไม่อยากเข้าไปยุ่งเท่าไหร่นัก

แฮร์รี่ตักอาหารเข้าปากด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่ฝืนยิ้มให้กับเนวิลล์ รอน และเซมัส ขณะที่ทั้งสามคนนั้นกำลังคุยเรื่องต่างๆ และพยายามเล่าเรื่องตลกๆ ให้แฮร์รีฟัง เขาไม่อยากทำให้เพื่อนๆ เป็นห่วงไปมากกว่านี้ แต่หัวใจของเขาในตอนนี้มันเจ็บปวดเกินทน รู้สึกราวกับว่ามันไม่สามารถรับแสงสว่าง หรือความสุขใดๆ ได้อีก

และใช่ว่าพวกรอนจะไม่รู้ รอนมองแฮร์รี่ขณะที่ยังฟังเนวิลล์บ่นถึงยายของเขา รอนยิ้มและหัวเราะเมื่อถึงตอนที่มันตลกๆ โดยที่สายตาของเขายังคงจ้องมองเพื่อนรักข้างกาย เขามุ่นคิ้วลงนิดๆ พลางส่งสายตาของความช่วยเหลือจากเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งคุณเธอก็มองมาที่เขาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ

เสียงของเนวิลล์และเซมัสเริ่มเงียบไปเมื่อทั้งสองหันมามองแฮร์รี่อีกครั้ง จากนั้นจึงหันไปมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ ความพยายามของพวกเขาดูท่าจะไม่มีวันสำเร็จตราบใดที่แฮร์รี่ยังคงมีท่าทางว่าจะไม่รับรู้ถึงสิ่งใดๆ

อยากช่วย... แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง

อยากปลอบ... แต่ไม่รู้จะปลอบอย่างไร

...เมื่อหัวใจของคนๆ นี้ไม่รับรู้สิ่งใดเลย...

 

 

ท้องฟ้ายามราตรีมีดวงดาราประดับพร่างพรายระยิบระยับดูงดงาม แสงจันทราสาดส่องให้ความสว่างในนภาที่มืดมิดแห่งค่ำคืนนี้อย่างสง่างาม ผืนหญ้าเบื้องล่างถูกแสงจันทรากระทบให้รับสีสันของแสงสว่างนวลลออ สายลมพัดผ่านให้ใบหญ้าพลิ้วไหว เอื่อยเฉื่อย เชื่องช้า และสงบ

สนามควิชดิชยามราตรีเป็นที่ ที่น่ามาทีเดียว...

...สำหรับตัวเขาในตอนนี้

นัยน์ตาสีเขียวหม่นจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย ขณะยืนรับสัมผัสอันเยือกเย็นของสายลม ร่างเพรียวบางค่อยๆ ทรุดตัวนั่งบริเวณขอบสนาม ก่อนเงยหน้ามองพระจันทร์เต็มดวงสว่างไสว ส่องประกายความงดงามเคียงคู่ดวงดาว เป็นแสงสว่างเพียงเล็กน้อยภายใต้ความมืดมิด

ใช่แล้ว... พระจันทร์เต็มดวง

...รีมัส...

เป็นอีกครั้งที่ปรากฏประกายของน้ำใสที่ต้องแสงจันทร์ ไหลอาบแก้มนวล ความคิดถึง คะนึงหาเอ่อล้นเข้ามาในจิตใจ เจ็บปวดทรมานแค่ไหน โดดเดี่ยวเดียวดายเท่าใด ทนไม่ไหวทุกครั้งจนต้องปลดปล่อยออกมา... ตามลำพัง

ในเมื่อตัวเขา... ไม่มีวันสัมผัสแสงสว่าง

นึกน้อยใจต่อโชคชะตาฟ้าลิขิต ไยต้องให้เขาทรมานอย่างนี้ สงครามทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายลง เขาไม่เหลือใครอีกแล้ว ความรู้สึกนึกคิดของเขาตอนนี้ว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างดำมืด มองไปทางใดก็เจอแต่สีทมิฬอันเดียวดาย

ใบหน้าหวานผินไปมองรอบๆ กายอย่างเลื่อนลอย ราวเป็นการตอกย้ำว่าตัวเองนั้นโดดเดี่ยว ในบางครั้งก็คิดกับตัวเองว่าทำไมถึงต้องเป็นเขา ที่แบกรับภาระที่ยิ่งใหญ่...

...มาคิดๆ ดูเขาก็คงเหมือนกับท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่มีเมฆาล่องลอยมากมาย

ใช่... เขาแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ เหมือนท้องนภากว้างไกล

ก้อนเมฆามากมาย คงเปรียบดั่งผู้คนทั้งหลายรอบกายของเขา

แฮร์รี่ปรือตาหลับลงอย่างเชื่องช้า ความเหนื่อยล้ายังคงกัดกินหัวใจของเขา ราวกับจะให้มันเต้นช้าลงเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ... มันคือความตายที่ทรมาน อย่างแช่มช้า และเงียบเชียบ

คำถามมากมายเริ่มผุดขึ้นมาในจิตใจ ทุกครั้งที่เขาอยู่คนเดียว และคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผันผ่าน ทบทวนสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่รู้จบ ความเห็นแก่ตัวเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ พอๆ กับความน้อยอกน้อยใจต่อโชคชะตาที่แสนโหดร้ายนี่...

...ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันหนีพ้น

 

 

นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนซีดจับจ้องมองภาพเบื้องหน้านิ่ง

เดรโกเดินตามแฮร์รี่ออกมาตั้งแต่ที่เขารู้ตัวว่าเจ้าของร่างเพรียวนี้แอบออกมาจากหอ ระหว่างที่เขากำลังเดินกลับไปที่หอ ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกเหมือนมีลมผ่านตัว อีกชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเดินเฉียดเขาไป และด้วยความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาเดินตามมาทั้งที่มองไม่เห็น

ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไม...

...และตอนนี้ก็ได้แต่มอง

เขาไม่กล้าเข้าไปทักแฮร์รี่ กลัวจะปากเสียใส่เข้าให้อีกเหมือนก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรวางตัวยังไง และควรพูดอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุด เดรโกแอบยืนดูพลางเม้มริมฝีปากแน่น สุดท้ายก็ยืนกำหนดลมหายใจเข้าออกให้ตัวเองสองสามครั้ง ก่อนจะก้าวออกไปหาร่างเพรียวบาง

“เฮ้...”

เดรโกเอ่ยทักเสียงแผ่วเบา แต่ด้วยความเงียบสงัดรอบกายจึงทำให้น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเด่นชัด แฮร์รี่สะดุ้งหน่อยๆ ด้วยความตกใจ ใบหน้าหวานหันขวับมามอง นัยน์ตาสีเขียวเบิกกว้างเล็กน้อย ขาทั้งสองก้าวถอยห่างจากร่างสูงตรงหน้าโดยอัตโนมัติ

“มาทำอะไรดึกดื่นแถวนี้? พอตเตอร์”

เดรโกยืนกอดอกมองพลางยิ้มเหยียดนิดๆ ตามสไตล์มัลฟอยให้กับอีกฝ่าย แฮร์รี่มุ่นคิ้วเรียวของตนลงเล็กน้อย จ้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยสายตาที่ฉายประกายความไม่หวาดกลัว อีกทั้งยังมีโทสะแฝงอยู่ลิบๆ ก่อนประกายเหล่านั้นจะวูบหายเหลือเพียงความว่างเปล่า

“ไม่ใช่ธุระ... ของนาย มัลฟอย”

แฮร์รี่กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบกึ่งเย็นชา  ให้หัวใจเดรโกกระตุกเล่น เดรโกเม้มริมฝีปากนิดๆ อย่างพยายามเตือนตัวเองว่าห้ามมีเรื่องกับอีกฝ่ายเด็ดขาด เม้มริมฝีปากเพื่อไม่ให้โพล่งคำบ้าๆ ออกไปอยู่นาน เดรโกก็สูดหายใจพลางเชิดหน้าขึ้นนิดๆ อย่างถือตัว

“ฉันเป็นพรีเฟ็ค” เอ่ยพลางหรี่ตาลงจ้องคนตรงหน้าที่ระดับความสูงถึงแค่ช่วงใต้คางของเขาเท่านั้น “และนายก็ออกมานอกปราสาท ฉันเองก็ควรทำหน้าที่ให้สมเป็นพรีเฟ็คสักหน่อยโดยการลากคอนายกลับไปที่หอของนายซะเดี๋ยวนี้ ใช่ไหม?”

แฮร์รี่ไม่กล่าวอะไรต่อ เขายืนมองเดรโกด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนเมินไปมองพระจันทร์เต็มดวง เรียกให้อีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองพระจันทร์บ้าง

“พระจันทร์เต็มดวง...” แฮร์รี่เกริ่น “ฉันชอบที่จะมองมัน ยิ่งเป็นตอนนี้ก็ยิ่งชอบ... มันทำให้ฉันนึกถึงใครบางคน คนสำคัญของฉันอีกคนหนึ่ง ถึงแม้มันจะดูเป็นเรื่องงี่เง่า แต่ฉันก็อยากที่จะมองมัน และนึกถึงเขา ถึงแม้ว่า—“

“ถึงแม้ว่านายจะเจ็บก็ตามงั้นเหรอ?” เดรโกแทรก

แฮร์รี่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดบอกคนๆ นี้เกี่ยวกับความรู้สึกของเขาและสาเหตุที่ออกมาอย่างนี้ แต่สิ่งที่ทำให้แฮร์รี่ไม่เข้าใจและแปลกใจยิ่งกว่าคือน้ำเสียงของเดรโกที่เอ่ยแทรกขึ้นมา มันดูเจ็บปวดแปลกๆ และเมื่อเขาหันมามองก็เห็นเดรโกมองหน้าเขาอยู่แล้ว

แสงจันทร์ส่องกระทบให้เห็นใบหน้าซีกขวาของเดรโกชัดเจน ดวงตาสีฟ้าอ่อนนั่นกำลังหลุบลงเล็กน้อย ฉายแววความเจ็บปวดออกมาวูบหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนมาจ้องแฮร์รี่อย่างปกติ แฮร์รี่เห็น แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงอยากรู้สาเหตุ แต่ก็ไม่คิดถามออกไป

“ใช่... ถึงแม้ว่าฉันจะเจ็บ” แฮร์รี่ว่า จ้องอีกฝ่ายตอบด้วยแววตาเจ็บปวดที่ปรากฏให้เห็นจางๆ “เอาเถอะ... ฉันอยู่ตรงนี้มาได้นานพอสมควรแล้ว และถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรนายถึงได้ออกมาเดินแถวนี้ยามดึก แต่ถ้านายอยากลากคอฉันกลับเข้าไป งั้นก็ไปกันได้แล้ว” แฮร์รี่ถอนหายใจทิ้งก่อนกล่าว แล้วเดินผ่านเดรโกกลับไปทางที่เดินมา ผ้าคลุมล่องหนถูกคลี่ออกมา แฮร์รี่หันกลับมามองเดรโกที่ยังยืนมองเขานิ่ง

“จะลากคอฉันกลับไปก็มาลากไปเร็วๆ สิ” แฮร์รี่ว่า

เดรโกจึงก้าวเท้าเดินตามมายืนใกล้แฮร์รี่ แฮร์รี่เหวี่ยงผ้าคลุมล่องหนให้คลุมพวกเขาทั้งคู่แล้วเดินกลับเข้าไปในปราสาท ระหว่างทางพวกเขาไม่พูดคุยอะไรกันเลย แฮร์รี่ดูมีท่าทางเหม่อลอยตลอดเวลา ขณะที่เดรโกเองก็ลอบมองแฮร์รี่เป็นระยะๆ

“พอตเตอร์...!”

เดรโกเผลอตะโกนเรียกคนข้างๆ เสียงหลงเมื่อแฮร์รี่เดินเหม่อลอยเกือบไปชนรูปปั้นข้างๆ เข้า กว่าจะรู้ตัวอีกที ร่างเพรียวบางก็ถูกแขนแกร่งกระหวัดรวบเอวเอาไว้ แล้วดึงเข้าใกล้เจ้าของแขนนั่น ชั่ววินาทีหนึ่งแฮร์รี่แทบลืมหายใจเมื่อปะทะกับอกแกร่งด้วยความตกใจ อีกชั่ววินาทีหนึ่งเดรโกพลิกตัวเสียหลักล้มลงเป็นเหตุให้แฮร์รี่ทับอยู่บนตัวเขา ผ้าคลุมล่องหนถูกทับและปลิวตามแรงกระแทกจนหลุดออก

แล้วถัดจากนั้น... ราวเวลาได้หยุดนิ่งลง

เมื่อแฮร์รี่เงยหน้าขึ้นมามองสบตากับเดรโก ใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันไม่มากนักจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกันที่เป่ารดลงมา ทั้งคู่หายใจหอบจากความตกใจ ใบหน้าของทั้งสองเริ่มขยับเข้าใกล้กันมากขึ้นราวถูกมนตร์สะกด

แม๊ววว

ทั้งสองสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงร้องของแมว แฮร์รี่รีบผละออกจากเดรโกและยันตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นคุณนายนอริส เดรโกเองก็ลุกพรวดแทบทันทีแล้วเดินถอยหลังไป เจ้าแมวนั่นเดินตามมาอย่างเห็นได้ชัดว่ามันจะไม่ปล่อยไป

“นั่นใคร!?”

เสียงของฟิลช์ดังขึ้น แฮร์รี่รีบเหวี่ยงผ้าคลุมล่องหนคลุมตัวพวกเขาอีกครั้งแล้วคว้าแขนของเดรโกดึงเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะกระซิบเบาๆ “วิ่ง!”

ทั้งสองรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตามมาไม่ไกลมาก และเริ่มกระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งคู่วิ่งเลี้ยวไปทางขวามือแล้วไปหลบหลังรูปปั้น เสียงเท้าของฟิลช์ตามมาพร้อมเสียงตะโกน

“ไอ้เด็กสารเลว! ฉันรู้ว่าแกอยู่แถวนี้!”

เดรโกเหลือบสายตาไปมองฟิลช์ที่เดินเลี้ยวเข้ามาทางเดียวกัน ขณะที่แฮร์รี่หอบเบาๆ อย่างไร้เสียง ก่อนที่มือเรียวบางจะดึงเดรโกให้ย่อลงมาใกล้ๆ เมื่อเหลือบไปเห็นว่าเท้าของเดรโกโผล่พ้นผ้าคลุมล่องหนเนื่องจากความสูงที่ต่างกันของพวกเขา

เดรโกที่ถูกดึงแอบเสียหลักเล็กน้อยเนื่องจากไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าคมคายหันกลับมามองแฮร์รี่ทันทีอย่างจะถามว่าดึงทำไม แต่พอหันมา ลมหายใจแทบสะดุดเมื่อใบหน้าของพวกเขาใกล้กันมากจนจมูกจะชนกันอยู่แล้ว แฮร์รี่เองก็ดูจะตกใจหน่อยๆ

“ไอ้เด็กสารเลว! ออกมาเดี๋ยวนี้! ฉันรู้นะ... ว่าแกอยู่ที่นี่!!” ฟิลช์ตะโกนเสียงดัง

แต่ดูเหมือนว่าเสียงของเขานั้นจะไม่เข้าสู่โสตประสาทของทั้งคู่ เมื่อทั้งสองรู้สึกเหมือนต้องมนตร์สะกดอีกครั้ง เดรโกโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้แฮร์รี่เรื่อยๆ นัยน์ตาของทั้งคู่ค่อยๆ ปรือหลับลงอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกวาบหวามกำเนิดขึ้นเมื่อริมฝีปากเรียวบางได้รูปนั่นประกบลงมาบนกลีบปากงามอวบอิ่ม

ฟิลช์ตะโกนขึ้นอีกครั้ง แล้วเดินผ่านพวกเขาไป ในขณะที่ทั้งคู่ยังคงจูบกันอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง ลิ้นของเดรโกแทรกเข้ามาในโพรงปาก ตวัดไล่เลียหยอกล้อกับลิ้นของอีกฝ่าย ใบหน้าของทั้งคู่ขึ้นสีแดงซ่าน แขนของเดรโกข้างหนึ่งเอื้อมมากอดรอบเอวบางของแฮร์รี่แล้วดึงเข้ามาให้แนบชิดมากยิ่งขึ้น อีกข้างเอื้อมขึ้นมาใช้มือสัมผัสประคองใบหน้าหวานล้ำนั่นเอาไว้


แฮร์รี่รู้สึกเข่าอ่อน และไร้เรี่ยวแรง เขาแทบล้มพับเมื่อเดรโกถอนจูบออกแล้วกอดประคองเขาเอาไว้ พวกเขาหายใจหอบถี่ และเริ่มรู้สึกจับต้นชนปลายอะไรๆ ไม่ค่อยถูก เมื่อความคิดแตกกระจัดกระจายจากจูบเมื่อครู่ แฮร์รี่ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง และทำไมเขาถึงไม่รังเกียจมัน

ขณะเดียวกันเดรโกเองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้จูบแฮร์รี่ เขาไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าตลอดเวลาเขาแอบมองแฮร์รี่มาตั้งแต่ปี 1 ...อย่างไรก็ตามความเป็นศัตรู คู่ปรับคู่แค้นก็สามารถเป็นกำแพงบางๆ ที่กั้นความรู้สึกของเขาไว้ได้

แต่ความรู้สึกของเขามันราวจะพัฒนาขึ้นทุกๆ ปี ยิ่งอยู่ใกล้ใจยิ่งสั่น หลายครั้งหลายคราที่คอยห้ามใจ จนเขาสามารถสร้างกำแพงแห่งความเป็นศัตรูกั้นความรู้สึกทั้งหมดไว้ได้... ใช่ เขาคิดว่าทำได้ แต่กำแพงเหล่านั้นกลับพังทลายลงในทันทีที่แฮร์รี่ช่วยชีวิตของเขาในห้องต้องประสงค์

“พอต—“

พลั่ก!

แฮร์รี่ผลักเดรโกออกจนอีกฝ่ายชนเข้ากับรูปปั้นแล้วร้องโอดโอยเสียงแผ่ว แฮร์รี่ตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเจ็บเขาทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ เขาเดินถอยห่างจากเดรโกออกมา ลมหายใจหอบถี่อย่างตื่นตระหนกแปลกๆ ริมฝีปากของเขากำลังสั่นระริก

“ขอโทษ” แฮร์รี่กล่าวเสียงแผ่วพลางหอบหายใจถี่ “ฉันขอโทษ”

แฮร์รี่เดินถอยหลังเรื่อยๆ ขณะที่เดรโกใช้มือยันรูปปั้นเพื่อทรงตัวพลางนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดก่อนหันไปมองแฮร์รี่ด้วยความไม่เข้าใจ เขาขยับปากพยายามพูด

“พอตเตอร์—“

“ฉันขอโทษ.. มัลฟอย ฉัน..ฉัน... ไม่... ขอตัวก่อน!”

แฮร์รี่กล่าวตะกุกตะกักอย่างคนตื่นตระหนก เขาพูดออกมาแทบไม่เป็นประโยคก่อนสุดท้ายจะหันหลังวิ่งออกไป ผ้าคลุมล่องหนหลุดออกมา แฮร์รี่ไม่สนใจ เขายังคงวิ่งต่อไป วิ่งเพื่อที่จะกลับไปที่หอ แล้วนอนลงบนเตียงซะ โดยหวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือความฝัน ใช่... ความฝัน

 

ในตอนเช้า แฮร์รี่ลุกขึ้นไปอาบน้ำด้วยความงัวเงีย เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ ...ถึงแม้ว่าตั้งแต่สงครามจบลงเขาจะแทบนอนไม่หลับเลยก็ตาม เมื่อทุกครั้งที่เขาหลับตา ภาพคนสำคัญของเขาทั้งหลายจะปรากฏขึ้นมา แววตาของพวกเขาเศร้าสร้อย ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะน่ารังเกียจและใบหน้าของจอมมาร นั่นทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสมอ

แต่เมื่อคืนมันแตกต่างกันออกไปเขานอนไม่หลับ ไม่หลับจริงๆ เขาไม่ได้หลับตานอนด้วยซ้ำ หัวใจของเขาเต้นแรงราวจะระเบิดออกมา เขานั่งๆ นอนๆ อยู่แทบทั้งคืน เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั่นยังคงวนเวียนซ้ำไปมา ภาพใบหน้าคมคายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ และ...

ฉ่า...

ให้ตายเถอะเมอร์ลิน! เกิดอะไรขึ้นกับเขา!?

"แฮร์รี่ นายเป็นอะไรหรือเปล่า?" รอนเอ่ยถามขึ้มมาเมื่อเห็นเพื่อนรักหน้าขึ้นสีระเรื่อวูบวาบแปลกๆ "ไม่สบายเหรอ?"

แฮร์รี่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ แล้วส่งยิ้มเล็กๆ ให้รอนเชิงบอกว่าเขาสบายดี เมื่อพวกเขาลงไปเจอเฮอร์ไมโอนี่ที่ห้องนั่งเล่นรวม และสังเกตเห็นความผิดปกติ "แฮร์รี่ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?"

“ฉันสบายดีนะเฮิร์ม” แฮร์รี่ส่งยิ้มจางๆ ให้ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็เจือความเศร้าเสมอ

ถึงแม้เขาจะเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ที่เขา... ตั้งแต่เรื่องเมื่อคืน แต่เรื่องนั้นมันก็ไม่สามารถกลบเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ ของเขา หรือคนสำคัญของเขาได้หรอก...

เมื่อคืน พอได้เห็นพระจันทร์เต็มดวงแล้ว ก็พาลนึกถึงวันแรกที่ได้เจอกับรีมัส บนรถไฟ ใช่ รีมัสช่วยเขาเอาไว้จากผู้คุมวิญญาณ สิ่งที่เขากลัวเหลือเกิน แล้วก็นึกถึงวันนั้นเช่นกัน วันที่ได้พบกับซีเรียส เขาได้รู้ความจริงหลายๆ อย่าง

พอมานึกถึงเรื่องราวในตอนนั้น เขาถึงเพิ่งได้สังเกตมันอีกครั้ง เซเวอร์รัส สเนป... ใช่แล้ว ในคืนนั้น คืนพระจันทร์เต็มดวง ที่รีมัสกลายเป็นมนุษย์หมาป่า เซเวอร์รัสดูเป็นห่วงเขา และยังกันพวกเขาไว้จากรีมัส พอนึกถึงตรงนี้แล้วก็อดเสียใจไม่ได้

ทำไมเขาไม่เคยสังเกตนะ...?

คิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเพียงเรื่องเดียว แต่มันกลับสามารถโยงไปถึงเรื่องอื่นได้หลายๆ เรื่อง ผู้คนมากมายพร้อมที่จะปกป้องเขา... ไม่ เขาไม่ต้องการให้ใครมาปกป้อง มันโหดร้าย... น่ากลัว น่ากลัวเหลือเกิน การสูญเสียมันน่ากลัวเกินไป...

แฮร์รี่สะบัดหัวไล่ความคิด แล้วทอดถอนหายใจแรงๆ ก่อนที่จะสาวเท้าเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ โดยมีรอนและเฮอร์ไมโอนี่เดินตามไปอย่างเป็นห่วง ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็อยากให้เพื่อนตัวเล็กคนนี้กลับมาเป็นเหมือนเดิมสักที

 

ห้องโถงใหญ่ในยามเช้ายังคงคับคั่งไปด้วยผู้คน รุ่นน้องและเพื่อนๆ ต่างพูดคุยหยอกล้อ หัวเราะกันเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง แฮร์รี่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ตรงข้ามกับรอนและเฮอร์ไมโอนี่ ผู้คนค่อยๆ ทยอยกันเข้าห้องโถงที่ละน้อยๆ นั่นรวมไปถึงเดรโก มัลฟอยด้วยเช่นกัน

นัยน์ตาสีฟ้าซีดเหลือบไปเห็นร่างเพรียวบางที่กำลังมองเพื่อนๆ พยายามทำให้เจ้าตัวร่าเริงอยู่ด้วยรอยิ้มจางๆ เดรโกมองภาพนั้นด้วยสายตายากจะคาดเดาว่าคิดอะไรอยู่ เขาเลือกที่จะเดินนั่งเก้าตรงบริเวณด้านหลังแฮร์รี่พอดิบพอดี

“เอ้อ แฮร์รี่ ว่าไปแล้วเมื่อคืนนายหายไปไหนมาน่ะ?”

เสียงของรอนกล่าวถามขึ้นเป็นเสียงกระซิบ แต่กลับดังมากพอจะทำให้เดรโกชะงักแล้วหันไปมองด้านหลังเล็กน้อย เขาเห็นแฮร์รี่ชะงักไปกับคำถาม ดวงหน้าหวานฉายแววลังเลและครุ่นคิด นัยน์ตาสีเขียวสง่าเลิกลัก

“เอ่อ... สนามควิชดิช”

“ไปทำไมล่ะ?” เฮอร์ไมโอนี่ถามต่อทันที

“พระจันทร์เต็มดวง”

แฮร์รี่กล่าวเสียงแผ่วเบาเจือความเศร้า รอนและเฮอร์ไมโอนี่ชะงักทันที ทั้งสองหน้าถอดสีขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตนไม่สมควรถามเรื่องนี้เลย แฮร์รี่ก้มหน้าก้มตาทานอาหาร กลายเป็นว่าตัดบทสนทนากับเพื่อนไป รอนกับเฮอร์ไมโอนี่สบตากันเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ทานอาหารของตัวเองโดยที่ไม่ลืมจะมองเพื่อนตัวเล็กที่นั่งทานไปเงียบๆ เป็นระยะๆ

เช้านี้ โต๊ะกริฟฟินดอร์ดูหดหู่ลงถนัดตาเมื่อเด็กชายคนสำคัญกลับเข้าสู่สภาวะเหม่อลอย เจ็บปวดและเศร้าสร้อยอีกครั้ง เพื่อนสนิทหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกันถึงกับกลืนอาหารแทบไม่ลง ส่วนเพื่อนสาวก็พยายามไต่ถามอย่างเป็นห่วงแม้ไม่ได้คำตอบ

“เฮ้... ท่าทางว่าทางนั้นจะดูไม่ดีเลยนะว่าไหม”

เสียงของเบลส ซาบินี่ดังขึ้นตรงข้ามกับเดรโกเรียกให้นัยน์ตาสีฟ้าซีดเหลือไปมองเล็กน้อยก่อนเบือนกลับไปที่โต๊ะกริฟฟินดอร์ เบลสเองก็เหลือบมองเดรโกเล็กน้อย ก่อนจัดการกัดพายฟักทองในมือแล้วกล่าวเปรยๆ

“เป็นห่วงก็ไม่ไปดูสักหน่อยล่ะ?”

เดรโกตวัดสายตามามองเบลสซึ่งเจ้าตัวกำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ คิ้วของเดรโกขมวดมุ่น แล้วหันกลับไปมองทางพวกแฮร์รี่ เขาไม่สามารโวยออกไปได้ว่าเขาไม่ได้เป็นห่วงแฮร์รี่ ไม่เช่นนั้นจะเข้าทางเจ้าเพื่อนบ้าที่นั่งตรงข้ามกัน เพรามันไม่ได้กล่าวระบุว่าใครห่วงใคร

เบลสส่ายหน้าน้อยๆ นึกขำเพื่อนที่นั่งตรงข้ามเขาอยู่ในใจ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าใครสังเกตเจ้าเพื่อนคนนี้ดีๆ ก็จะรู้ สีหน้าแม้เรียบเฉย แต่ไอ้แววตานี่ล่ะหนาทอประกายห่วงหาเสียขนาดนั้น อย่างไรก็ตามถึงเขาจะบอกเปรยๆ ว่าให้ไปดู แต่ก็มั่นใจได้ร้อยทั้งร้อยว่าปากดีๆ อย่างนี้ คงทำทั้งตัวเองและอีกคนเจ็บเป็นแน่แท้โดยไม่ต้องเดาอะไรเลย

แต่เขารูสึกหมั่นไส้ยังไงไม่รู้...

...คนแบบนี้เนี่ย

เบลสมองเดรโก สีหน้าของเขากำลังครุ่นคิดหลายๆ อย่าง และดูเหมือนเดรโกจะรู้ตัวเพราะเจ้าตัวเขาหันหน้ากลับมามอง แต่เบลสก็ทำว่าเขากำลังทานพายฟักทองในมืออย่างเอร็ดอร่อย แน่นอนว่านัยน์ตาสีฟ้าซีดยังคงมองจับผิดแต่ไม่ได้กล่าวอะไร แล้วเบนสายตากลับไปมองหลังบางๆ นั้นอีกครั้ง

ไม่มีวี่แววว่าจะขยับ...

...ไม่ยอมทานอะไรเลย

เดรโกชักนึกกังวล สมองกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ทำให้คิ้วทั้งสองขมวดกันแทบผูกเป็นปม เพื่อนสาวที่นั่งเงียบอยู่ข้างเคียงก็เหลือบมองเป็นระยะๆ แล้วถอนหายใจ ก่อนเบนสายตาไปสบกับพ่อหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกันเชิงถาม เบลสทำเพียงยักไหล่ตอบไม่ใส่ใจทำนองว่า เรื่องของมัน

ฉันล่ะเครียด...

แพนซี่เบ้หน้า หล่อนเกลียดบรรยากาศแบบนี้ที่สุดเลยรู้ไหม มันชวนเครียด! โอย... ขอร้องเถอะเดรโก อยากเครียดช่วยเครียดคนเดียวอย่าพาคนอื่นเครียดตามได้ไหม!? ว่าแล้วก็กวาดสายตามองรอบๆ ที่มีรุ่นน้องและเพื่อนหลายๆ คนเริ่มเขยิบหนีและทยอยออกจากห้องโถงไป... และเบลสที่กำลังทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวและกอยล์ที่เอาแต่กิน กิน และกิน

แม้มันจะมีอยู่ตัว(?)สองตัว(?)ที่ไม่สนใจอะไรเลยก็ตาม...

เบลสเหมือนจะรู้ตัวเบาๆ เขาเหลือบสายตามองแพนซี่แล้วกัดพายฟักทองอย่างไม่ใส่ใจหล่อน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน

“ไปล่ะ” เขากล่าวแล้วเดินจากไปทันทีโดยไม่สนใจอะไรอีก

และเดรโกก็ไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน เอาแต่มองร่างเพรียวบอบบางนั่น ที่นับวันชักจะบอบบางขึ้นเรื่อยๆ

“ทำไมเธอไม่เข้าไปหาเขา แล้วทักทายเขาสักหน่อยล่ะ?”

สุดท้ายก็ทนไม่ไหว แพนซี่เอ่ยแนะให้กับเดรโกอย่างเบื่อหน่ายหน่อยๆ เดรโกหันกลับมามองเธอด้วยสายตาที่ดูเรียบเฉย แล้วหันกลับไปมองแฮร์รี่ แพนซี่ถอนหายใจ... มองไปเถอะ มองเข้าไป มองจนให้ร่างอีกฝ่ายพรุนเลยดีไหม?

“เลิกเอาแต่มองแล้วไปทักเขาดีๆ สักทีเหอะ” ฉันรำคาญ...

“ฉันไม่รู้จะทักอะไรดี...” คราวนี้เดรโกยอมปริปากพูด แล้วมุ่นคิ้ว

“หาเรื่องอะไรก็ได้สักเรื่องไปทักเขาสิ แต่ต้องไม่จบลงที่ปาก— ฉันหมายถึงไม่จบลงที่มีเรื่องกัน”

เดรโกชักสีหน้าแล้วหันขวับมามองแพนซี่อย่างเอาเรื่อง ซึ่งเจ้าหล่อนทำเพียงยักไหล่ให้เล็กน้อยอย่างไม่รูสึกรู้สาอะไรนัก เดรโกหันกลับไปมองร่างเพรียวบาง แล้วภาพความทรงจำเมื่อยามค่ำคืนก็ย้อนกลับมา ภาพใบหน้าหวานน่ารักแต่งแต้มสีระเรื่อจางๆ ที่พวงแก้ม แพขนตาที่หลับพริ้ม ริมฝีปากงามอวบอิ่มสีเชอร์รี่อ่อนๆ

เดรโกหน้าขึ้นสีจางๆ โดยไม่รู้ตัว และไม่ทันได้สนใจสายตางงงวยของแพนซี่ที่มองเขาอย่างไม่เข้าใจและสงสัยว่าเขาเป็นอะไร มือแกร่งกำชับผ้าคลุมที่ถูกพับไว้อย่างดีในมือแน่น... ใช่แล้ว ผ้าคลุม... ผ้าคลุมล่องหนที่ร่างบางทำหลุดไว้เมื่อคืน... ผ้าคลุม!!

เดรโกลุกพรวดเมื่อสมองของเขาเริ่มทำงานประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพ(?)และเข้าที่เข้าทางได้สักที แพนซี่สะดุ้งมองเขาอย่างงุนงงหนักขึ้นเมื่อจู่ๆ ก็ลุกขึ้นทำเอาตกใจไปหมด เจ้าหล่อนเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ และเขาก็ไม่ได้สนใจกลับย่างสามขุมเข้าไปหาร่างเพรียวบางตรงหน้า ถึงแม้เขาทั้งคู่ไม่ได้นั่งห่างกันอะไรมากก็ตาม แค่หันหน้ามาก็เจอกันแล้ว...

รอน วิสลีย์เงยหน้าจากอาหารที่เพิ่งทานเสร็จก็ต้องชะงักกึ่งช็อก เมื่อไอ้คนที่อยู่ตรงหน้าเขาคือร่างสูงสง่าของพ่อคุณชายคนสำคัญแห่งสลิธีริน ที่ยืนอยู่หลังเพื่อนรักของเขา รอนอึ้งไปชั่วขณะก่อนส่ายหัวเล็กน้อย แล้วเริ่มขมวดคิ้วแน่น

“แกจะทำอะไร”

รอนกดเสียงต่ำแล้วลุกขึ้นยืนพรึ่บเต็มความสูง ซึ่งเท่ากับอีกฝ่ายพอดิบพอดี ทำให้คนทั้งโต๊ะหันไปมอง แล้วต้องผงะไปพร้อมๆ กันอย่างเป็นระเบียบ(?) เมื่อพบพ่อคุณชายกำลังปรายตามองรอนด้วยความเย็นชา เฮอร์ไมโอนี่จับข้อมือของแฟนหนุ่ม แล้วดึงเบาๆ เชิงให้เขานั่งลง

รอนไม่ได้ทำตามในทันที มองเจ้าคนตรงหน้าด้วยความไม่ชอบใจสุดๆ ทางเดรโกเองก็ทำเพียงปรายสายตาเหยียดๆ กลับมา ให้รอนแทบพุ่งเข้าไปชกหน้ามันสักหมัดสองหมัด แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่ต้องรีบลุกขึ้นไปจับเอาไว้ไม่ให้แฟนหนุ่มเลือดร้อนทำอะไรไม่รู้คิดลงไป

แฮร์รี่นั่งเงียบ นิ่ง ใบหน้าหวานก้มลงต่ำ เขาไม่ได้รู้สึกตัวว่าคุณชายแห่งสลิธีรินได้มายืนข้างหลังเขาจนกระทั่งรอนลุกขึ้นแล้วกล่าวหาเรื่องเสียงต่ำ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่ารอนพูดถึงใคร ในเมื่อท่าทางของรอนแบบนี้มีต่อชายคนนั้นผู้เดียว

“ไอ้เฟอร์เร็ท แกกลับไปโต๊ะแกเลยไป!” รอนแผดเสียง

ก่อนจะกระแทกตัวนั่งลงเมื่อแฟนสาวของเขากดไหล่เขาอย่างสุดความสามารถเพื่อให้เขาเลิกยืนทำอะไรบ้าๆ สักที แล้วเจ้าหล่อนก็นั่งลงมาตาม โดยไม่ลืมที่จะตีไหล่พ่อหนุ่มข้างๆ อย่างตำหนิ เฮอร์ไมโอนี่ถลึงตาใส่รอนแล้วหันไปหาเดรโก

“มีอะไรหรือมัลฟอย?”

เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้วถามดูเป็นกันเองจนเดรโกผงะนิดๆ อย่างเริ่มไม่มีความมั่นใจ แต่ก็กลับมานิ่งสงบได้ภายในเสี้ยววินาที รอนอ้าปากค้างมองแฟนสาวอย่างไม่อยากเชื่อว่าเธอจะหยิบยื่นมิตรภาพให้กับไอ้บ้านี่ แต่เขาไม่สามารถกล่าวอะไรได้เมื่อเจ้าหล่อนปรายตาดุๆ ใส่

“เอาของมาคืน” เดรโกตอบเสียงราบเรียบ เขายังคงรักษาความนิ่งสงบแบบของเขาได้

เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้ว “อะไรหรือ? คืนใคร?”

“พอตเตอร์” คราวนี้เดรโกไม่ได้ตอบคำถามเฮอร์ไมโอนี่ แต่เรียกร่างที่นั่งก้มหน้าอยู่

แฮร์รี่สะดุ้งหน่อยๆ แล้วค่อยๆ เงยหน้ามองเดรโก ใบหน้าของแฮร์รี่เรียบเฉยเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ภายในดวงตามรกตคู่งามกำลังสั่นไหวแปลกๆ พอๆ กันกับใบหน้าคมคายสลักที่ยังคงนิ่งเฉย หากแต่นัยน์ตาสีซีดนั่นฉายแววบางอย่างที่มีความหมายซุกซ่อน

เดรโกยื่นผ้าคลุมในมือส่งให้และแฮร์รี่ก็รับมาไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่มีคำพูดต่อล้อต่อเถียง ไม่มีสงครามริมฝีปากใดๆ เกิดขึ้น แน่นอนว่าทุกคนมองมันว่าไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร ในเมื่อสภาพจิตใจของแฮร์รี่ตอนนี้ ต่อให้มีคนมาหาเรื่องก็คง... ยังเหมือนเดิมแบบนี้

เดรโกเดินกลับทิ้งตัวลงที่ ที่ตนนั่งอีกครั้ง โดยมีสายตาของแพนซี่มองตามทุกการกระทำ มือของหล่อนยกขึ้นกอดอก ก่อนสายตาจะเบนเหลือบไปมองทางโต๊ะกริฟฟินดอร์ ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันเพียงแต่จ้องมองร่างเพรียวบางลุกขึ้นยืน แล้วโดนเพื่อนจูงมือเพื่อไปเรียนวิชาต่อไป

“นี่ แพนซี่...” เดรโกเปรยเรียกชื่อคนข้างกาย

แพนซี่หันมามองเขาพลางเลิกคิ้วเชิงถาม ซึ่งเดรโกก็ค่อยๆ หันหน้ามามองเจ้าหล่อนช้าๆ

“การจะเข้าหาใครสักคนที่... เป็นคู่อริกันมาตลอดหลายปีควรจะทำยังไงงั้นเหรอ?”

เดรโกถาม สายตากลับไปมองแผ่นหลังบอบบางที่หายออกไปจากห้องโถง แพนซี่ชะงักเล็กน้อย หล่อนครุ่นคิดนิดหน่อย แล้วค่อยๆ ตอบออกมา

“ก็... ลองเริ่มต้นใหม่สิ”

เดรโกหันมามองพลางเลิกคิ้วถามเชิงขอคำอธิบายเพิ่ม แพนซี่แย้มยิ้มกล่าวชัดถ้อยชัดคำ

“มันไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเสียศักดิ์ศรีอะไรแม้แต่น้อย เดรโก ถ้าเธอกลัวว่ามันจะดูแปลกในสายตาของใครหลายๆ คน เธอก็เพียงแค่ค่อยๆ ก้าวเดินช้าๆ เส้นทางใหม่ ที่ตรงข้ามกับเส้นทางที่เธอเดินอยู่ เธอลองเริ่มเข้าไปหาเขาแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ช้าๆ ไม่ต้องเร่งรีบ ค่อยๆ ยื่นมือไปหาเขา แล้วคอยฉุดรั้งพยุงเขา เชื่องช้าแต่มั่นคง มันไม่ยากหรอก เป็นการก้าวเดินตามหัวใจของตัวเอง อีกอย่างฉันมั่นใจว่ามันไม่น่าจะสายไปหรือเสียหายตรงไหน ตอนนี้เขาคนนั้นของเธอกำลังต้องการใครสักคน ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับความรู้สึกของอีกฝ่าย แล้วรับมันมาทีละเล็กละน้อยจนแบ่งเบาซึ่งกันและกัน แล้วมันจะดีเอง เชื่อฉันสิ"

Comments


Last Update: 06/09/2019

In Stock

- D E C E I V E D - : 2

AUTUMN : 9

WINTER : 7

SPRING : 9

SUMMER : 3

MEMORIES : 20

MORE AT SHOP

  • Black Facebook Icon
  • Black Twitter Icon
  • Black Pinterest Icon
  • Black Flickr Icon
  • Black Instagram Icon

Subscribe เพื่อรับข่าวสารทาง e-mail

Edition of The Mountain Man. Proudly

created with Wix.com

© 2017 - 2019 White&Fai
bottom of page