Chapter 2: Transfiguration... Alla Mulacio!
- White&Fai
- Nov 10, 2017
- 4 min read
วิชายามเช้าดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่มีปัญหาอะไร และท่าทางจะไม่ค่อยเข้าหัวแฮร์รี่เท่าไหร่ เขาเอาแต่เหม่อลอยทั้งคาบ ให้ศาสตราจารประจำวิชาเป็นห่วงกันยกใหญ่ มาถึงก็มักไต่ถามว่าเขาสบายดีไหม? โอเคแล้วหรือยัง? มีปัญหาอะไรปรึกษาได้นะ...
สิ่งที่แฮร์รี่ทำมีเพียงยิ้มจางๆ ส่งให้พวกเขาแล้วกล่าวด้วยคำพูดประโยคเดิมๆ ว่า ผมไม่เป็นไรครับ หรือ ผมสบายดีครับ และ ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ
ถึงแม้เขาจะพูดอย่างนั้นออกไป ก็ยังคงทำให้ทุกคนเป็นห่วงอยู่ดี เขาอยากตอบแทนในความหวังดี ความรักละความเป็นห่วงของทุกคนที่มีให้เขา แต่ตอนนี้เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำไม่ได้จริงๆ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจอยู่ และคอยปลอบเขา ให้กำลังใจเขาอยู่บ้าง
“รอน ค่อยๆ ทานได้ไหม!?”
เสียงเฮอร์ไมโอนี่ดังขึ้นข้างๆ มือเรียวสวยของหญิงสาวเอื้อมไปตีแขนของแฟนหนุ่มอย่างเอาเรื่อง แล้วส่ายหน้าอย่างนึกเอือมระอา ก่อนหันมาหาเพื่อนรักข้างกาย
“แฮร์รี่ เธอก็ทานอะไรสักหน่อยสิ”
แฮร์รี่ยิ้มรับจางๆ แล้วพยักหน้าน้อยๆ มือค่อยๆ หันชิ้นไก่งวงออกมาพอดีคำแล้วค่อยๆ ตักทานอย่างไม่เร่งรีบ อันที่จริงควรบอกว่ามันดูเหม่อลอยแปลกๆ มากกว่า เฮอร์ไมโอนี่ลอบมองแล้วถอนหายใจ ทำอย่างไรเพื่อนหล่อนคนนี้ถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมสักที
“เฮ้ วิชาต่อไปเรียนอะไรนะ” เสียงเซมัสที่นั่งอยู่ข้างๆ รอนดังขึ้น เขาหันมาถามพวกแฮร์รี่
“วิชาแปลงร่าง” เฮอร์ไมโอนี่หันไปตอบครู่เดียวแล้วลงมือทานอาหารต่อ
“คิดว่าวันนี้มักกอนนากัลจะสอนอะไร” เสียงดีนดังขึ้น
“ก็สอนแปลงร่างอะไรสักอย่างนั้นแหละน่า” รอนว่าอย่างอารมณ์เสีย
เนื่องจากเขากำลังทานอาหารอยู่ แต่เจ้าเพื่อนตัวดั้งหลายมันกลับมาสุมหัวกันคุยไม่เกรงใจเขาที่นั่งขั้นกลางระหว่างมันสองตัว(?)เลยสักนิด ในขณะที่เพื่อนรักตรงข้ามกันกำลังนั่งเหม่อลอย ดูเหมือนบ่นสนทนาเมื่อครู่จะไม่ค่อยเข้าหูเขาสักเท่าไหร่... ไม่สิ มันไม่เข้าเลยต่างหาก
“โธ่ ตอบดีๆ หน่อยได้ไหมเพื่อน” ดีนกล่าว
“สำหรับฉันะ ขอแค่ไม่แปลงร่างเป็นอะไรประหลาดๆ ฉันก็สุขใจแล้ว”
เสียงเนวิลล์ที่นั่งถัดจากเซมัสกล่าวขึ้น หลังจากนั้นพวกเขาก็ต่างถกเถียงกันเรื่องสิ่งที่มักกอนนากัลจะสอนทั้งๆ ที่ยังมีข้าวอยู่ในปากบ้าง มือยังหยิบจับอาหารบ้าง และดูเหมือนหลังๆ รอนจะเริ่มเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย
เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้าไปมาอย่างนึกเอือมระอาสุดๆ ก่อนจะหันไปหาแฮร์รี่และพยายามชวนคุย เจ้าหล่อนพยายามเล่าอะไรหลายๆ อย่างให้ฟังเท่าที่หล่อนจะคิดออก และคิดว่ามันสนุกพอ อีกทั้งยังพยายามถามแฮร์รี่หลายๆ อย่าง ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบคำสองคำบ้างเป็นประโยคสั้นๆ บ้าง
“เฮ้”
เสียงทักดังขึ้นทำให้บริเวณนั้นเงียบกริบ พ่อหนุ่มสี่คนที่กำลังถกเถียงกันอยู่หยุดกึกแล้วหันมามองเจ้าของเสียง เฮอร์ไมโอนี่เองก็เงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ ส่วนแฮร์รี่ไหวตัวหน่อยๆ อย่างสงสัยเมื่อเห็นเฮอร์ไมโอนี่เงียบไป ดูเหมือนเขาจะรู้ตัวช้ากว่าใครเพื่อน
“มาทำไมมัลฟอย?” รอนถามไม่สบอารมณ์
มัลฟอยทำเพียงยักไหล่พร้อมส่งสายตาเหยียดๆ ไปให้ “ต้องรายงานด้วย?”
“แก!!”
มือทั้งสองข้างของรอนตบโต๊ะจนอาหารบางส่วนกระเด็นออกมาเล็กน้อย เขาลุกพรวดขึ้นยืนเต็มความสูง สองหนุ่มจ้องหน้ากันราวโกรธกันมาสิบชาติ ใบหน้าของรอนแดงก่ำด้วยโทสะในขณะที่เดรโกเชิดหน้าขึ้นเหยียดหยาม
“แค่นี้โกรธเหรอวีเซิล? ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเนี่ย” ว่าพลางยักไหล่อย่างไม่นึกสะทกสะท้าน
“หุบปากซะ นายจะมาตรงนี้ทำไมไอ้เฟอร์เร็ทกลับไปหาเพื่อนนายโน่น!” รอนว่า ชี้นิ้วไปทางโต๊ะสลิธีริน
เดรโกยิ้มเหยียด ก่อนหยิบบางสิ่งออกจากกระเป่าแล้วโยนไปไว้ด้านหน้าแฮร์รี่ ร่างเพรียวบางไหวตัวหน่อยๆ ได้ความแปลกใจ ใบหน้าหวานหันขวับมามองชายร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ฝ่ายนั้นทำเพียงยิ้มเหยียดใส่แล้วเดินห่างออกไป โดยไม่สนใจรอน และไม่ลืมที่จะบอกเจ้าคนตัวเล็กกว่า
“ให้” เขาเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ “จะได้ไม่มีเด็กบางคนหนีออกไปแอบมองพระจันทร์ตอนกลางคืนอีก” เสียงของเขาไม่ได้ดังมาก แต่ก็พอจะให้พวกเขาไม่กี่คนได้ยิน
“ไอ้บ้านั่นมันคิดจะทำอะไรของมัน” รอนว่าอย่างอารมณ์เสียแล้วหันมามองของที่เดรโกโยนมาให้แฮร์รี่ คิ้วของเขาขมวดแน่น “แฮร์รี่ ฉันว่านายโยนทิ้งไปเลยดีกว่าของอย่างนี้น่ะ หมอนั่นมันต้องคิดจะทำอะไรไม่ดีกับนายแน่ๆ ยิ่งตอนนี้นายเป็นแบบนี้ด้วยแล้ว ฉันว่านะ หมอนั่นมันคงอยากหัวเราะเยาะ หรือทำอะไรเย้ยหยันนายแน่ๆ เลย ฮึ่ม... คนอย่างหมอนั่นไม่มีทางที่จะ—“
“รอน”
เสียงของบเฮอร์ไมโอนี่ดังขัดขึ้น เจ้าหล่อนถลึงตาใส่แฟนหนุ่มอย่างเอาเรื่อง จากนั้นจึงหยิบสร้อยคอสีเงินแวววาวดูมีราคาแต่ประณีตเรียบง่าย จี้ตรงกลางเป็นรูปวงกลมสีเหลืองนวลเปล่งประกาย แลดูคล้ายกับพระจันทร์เต็มดวง
เฮอร์ไมโอนี่ปลดตะขอสร้อยแล้วสวมให้แฮร์รี่ ท่ามกลางสายตาอึ้ง เหวอ เอ๋อของเพื่อนหลายๆ คน ความไม่เข้าใจค่อยๆ เข้ามาในความคิดของพวกเขาช้าๆ เมื่อเฮอร์ไมโอนี่สวมเสร็จ เจ้าหล่อนก็จับไหล่ให้แฮร์รี่หันมาหาหล่อนดีๆ แล้วยกมือกอดอกมองอย่างภาคภูมิใจ
“มัลฟอยเลือกของเก่งดีนะ ฉันว่าสีเงินของสายสร้อยและสีเหลืองนวลๆ ของจี้มันขับกับผิวแฮร์รี่ดี” หล่อนกล่าว
รอนอ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินประโยคนี้จากแฟนสาว ในขณะที่แฮร์รี่อยู่ในอาการกึ่งอึ้งกึ่งเหม่อลอย เขายกมือขึ้นสัมผัสจี้พระจันทร์เต็มดวงนั่นแผ่วเบา เสียงทะลาะกันของเพื่อนรักดูจะไม่เข้าโสตประสาท เมื่อน้ำใสๆ เริ่มไหลรินลงมาจากดวงตาข้างซ้ายอย่างห้ามไม่อยู่
“แฮร์รี่!!” เนวิลล์เรียกด้วยความตกใจ “นายโอเคไหม?”
เสียงของเนวิลล์เรียกให้รอนและเฮอร์ไมโอนี่หันกลับมามองแฮร์รี่ที่เริ่มสะอึกสะอื้น พวกเขาดูจะตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบหาทางปลอบแฮร์รี่กันทันที เซมันและดีนเอื้อมมือมาตบไหล่แฮร์รี่เบาๆ เชิงปลอบใจแล้วถามว่าเป็นอะไรไหม นายโอเคไหม
แฮร์รี่ทำเพียงส่ายหน้าตอบ ก่อนโผเข้ากอดเฮอร์ไมโอนี่ที่นั่งข้างๆ คนโดนกอดดูจะตกใจไม่น้อย ก่อนหล่อนจะค่อยๆ ขยับมือลูบหลังแฮร์รี่อย่างปลอบประโลม รอนเริ่มทำท่าคาดโทษเดรโกอีกครั้ง แต่แล้วเสียงแฮร์รี่กลับพึมพำแผ่วเบา ถึงชื่อของใครคนหนึ่งที่ทำให้รอนและเฮอร์ไมโอนี่ถึงกับรู้สึกเจ็บปวดตาม
“รีมัส... ฮึก รีมัส”
ทุกคนในโต๊ะกริฟฟินดอร์หันมามองแฮร์รี่ด้วยความเป็นห่วง เพื่อนๆ หลายคนช่วยกันเข้ามาปลอบประโลม จอร์จเองก็เช่นกันเขารีบเข้ามาหาของเล่นอะไรที่เขาสร้างขึ้นมาพยายามทำให้แฮร์รี่ยิ้ม ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองตอนที่พูดถึงคุณสมบัติของมันอย่างโน้นอย่างนี้ก็แทบจะร้องไห้อยู่แล้ว เพราะไม่มีแฝดอีกคนเคียงข้างกายเหมือนเดิม
เช้าวันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่โต๊ะกริฟฟินดอร์ไร้สีสันใดๆ มาแต่งแต้ม
...แต่กลับเป็นวันแรก... แห่งการเริ่มต้นใหม่ของใครบางคน
“ทำแบบนี้ดีหรือเปล่านะ...” เดรโกพึมพำ
นัยน์ตาสีฟ้าซีดมองไปทางโต๊ะกริฟฟินดอร์ ใบหน้าของเขาเรียบเฉยเย็นชา แต่ภายในดวงตากลับสั่นไหวฉายความเจ็บปวด ลังเล และสับสน เบลสที่นั่งข้างๆ เลยเหลือบสายตามามองแวบหนึ่งพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ดีแล้วล่ะเดรโก...” เบลสถอนหายใจพลางกล่าว “มันอาจจะดีกว่าถ้าเขาได้ปลดปล่อยความเศร้าสร้อยออกมาบ่อยๆ นะ” จบประโยคก็เอื้อมมือไปหยิบน้ำฟักทองมาดื่ม
“นั่นสิ... เศร้าแค่ไหนเสียใจเท่าใด ปลดปล่อยออกมาให้มากที่สุดจนมันเหือดแห้งไป แล้วรอยยิ้มก็จะกลับมาเอง เชื่อสิ” แพนซี่กล่าวอย่างเห็นด้วยกับเบลส
เดรโกมองแฮร์รี่ดูสายตาอ่อนโยนอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็น หรือได้รับ เมื่อได้ยินคำตอบจากเพื่อนทั้งสอง แพนซี่เป็นคนบอกเขาว่าให้เขาค่อยๆ เข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างช้าๆ เพราถ้าปุบปับทำอะไรแปลกๆ ลงไปคนอื่นนี่คงมองเขาอย่างกับไม่เคยเห็นเขามาก่อนแหงๆ อีกอย่าง... เขาก็ไม่กล้าเข้าไปหาแบบเปลี่ยนนิสัยปุบปับขึ้นมาหรอก
มันรู้สึกกระดาก...
อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองสักหน่อย เบลสให้ความเห็นว่าควรเริ่มที่การพูดจาของเขา ซึ่งมักจะเอนไปทางดูถูก เหยียดหยาม และถากถาง (ตอนเบลสพูดน่ะพูดแรงกว่านี้หน่อย ว่าต้องเริ่มที่ปากหมาๆ ของเขา แน่นอนว่าเขาไม่พอใจสุดๆ ที่ได้ยิน) เบลสแนะนำว่าให้เขาพูดจาแบบนั้นน้อยลงบ้าง และพูดให้ถูกเวลาหน่อย
ยกตัวอย่างถ้าจะใช้พูดกลบเกลื่อนไม่ให้ใครทันรู้ตัวว่าเขาเริ่มเปลี่ยนนิสัยตัวเองก็ได้อยู่ แต่ถ้าไปพูดจาแบบนี้ใส่คนที่กำลังเศร้า เจ็บปวด (พูดถึงแฮร์รี่โดยตรงเลยล่ะ) มันจะไม่ดี นอกจากจะตอกย้ำคนนั้นแล้วยังทำร้ายตัวเองเบาๆ (?) ด้วย
แพนซี่แนะนำมาอีกว่า บางทีเขาน่าจะลองซื้อของเล็กๆ น้อยๆ สักอย่างให้แฮร์รี่ ตอนเดินเข้าไปก็ทำทีมาหาเรื่องสักหน่อยก็ได้ ถ้าเขาอาย (และเขาก็อายจริงๆ ถึงแม้จะพยายามกลบเกลื่อนมันโดยการมีเรื่องกับวีเซิลก็ตาม) ของที่ซื้อมาให้ก็ควรเป็นของอะไรก็ตามที่ทำให้แฮร์รี่นึกถึงคนสำคัญ
เพราะมันอาจทำให้แฮร์รี่รู้สึกสบายใจเมื่อได้เห็นของสิ่งนั้น
เดรโกยอมรับว่าครั้งแรกของเขามันดูไม่ค่อยสวยหรูสักเท่าไหร่นัก ปัญหาคือเขาเล่นบ้ามาให้อะไรที่ห้องโถง แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าเขาไม่รีบๆ ให้ เขาอาจจะไม่กล้าให้อีกเลยก็ได้ อีกอย่าง ถ้าเขาไปให้เจ้าตัวโดยตรงแบบไม่มีใครเลย มันก็รู้สึกอายสุดๆ อาจเผลอไปปากเสียใส่เข้าให้ก็ได้
มีคนอยู่แบบนี้น่ะดีแล้ว... อย่างน้อยก็หันไปหาเรื่องวีเซิลแทนได้
“ฉันว่าเกรนเจอร์มองออก” แพนซี่ว่าหลังจากดื่มน้ำฟักทองหมดแก้ว “ตอนที่ยัยนั่นเห็นสร้อยก็ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจอะไรมากมาย หนำซ้ำยังใส่ให้พอตเตอร์ด้วย ฉันว่าต้องรู้แน่ๆ”
“แหงล่ะ... ยัยนั่นมันเด็กฉลาด” เบลสยักไหล่ “เคยคิดเหมือนกันว่าทำไมไม่ได้ไปอยู่บ้านเรเวนคลอซะ น่าจะเหมาะกว่า แต่รู้สึกอยู่กันสามคนนี้มีวีรกรรมเยอะเหมือนกันมั้งนั่นน่ะ ได้ยินว่าเจ้าหล่อนมือหนัก อีกอย่าง—“
หลังจากนั้นเขาไม่ได้ฟังเรื่องไร้สาระอะไรที่เบลสพูดอีก เขาเอาแต่นั่งมองแฮร์รี่
และก็เชื่อสิ่งที่แพนซี่พูดแทบทันที เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์หันมามองแล้วเลิกคิ้ว จากนั้นหล่อนก็กระตุกยิ้มขำๆ ใส่แล้วกันไปพูดอะไรสักอย่างกับแฮร์รี่ที่ตอนนี้ดูเหมือนจะหายสะอึกสะอื้นแล้ว แฮร์รี่หันมามองเขาในทันที ทำให้เขาต้องเมินหน้าหนีทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาได้ยินเสียงหัวเราะของเกรนเจอร์ดังแว่วมา ให้ตายเถอะ คุยอะไรกัน...
“คิกๆ... ฉันว่าเขาต้องแอบลอบมองปฏิกิริยา ทุกการกระทำของเธอแน่ๆ เลยแฮร์รี่”
เฮอร์ไมโอนี่อมยิ้มแล้วหัวเราะแผ่วเบา เหลือบสายตามองเดรโกอย่างขำขัน แฮร์รี่มองเดรโก จากนั้นจึงเบนสายตามามองเฮอร์ไมโอนี่
“ไม่หรอกเฮิร์ม.. เธอคิดไปเองหรือเปล่า?” ว่าพลางเหลือบสายตาไปมองคนแกล้งเมิน
“นั่นสิ!” รอนรีบเสริมทันที เฮอร์ไมโอนี่ถลึงตาใส่รอนแล้วหันมาพูดกับแฮร์รี่
“ฉันเห็นน่าแฮร์รี่! เขาคงอายพอเห็นเธอหันกลับไป” หล่อนหัวเราะเบาๆ “ไม่คิดบ้างเหรอว่าเขาเอาสร้อยคอเส้นนี้มาให้เธอทำไม? ทุกคนนะแปลกใจแต่ไม่ได้สงสัยอะไรเลย ให้ตายเถอะ... คู่อริซื้อสร้อยให้กันเนี่ยนะ”
“หมอนั่นมันอาจจะมีแผนอะไรสักอย่างก็ได้ มันเจ้าเล่ห์จะตายไป อีกอย่างนะ ฉันว่ามันต้องคิดทำอะไรไม่ดีกับแฮร์รี่แน่ๆ เชื่อสิ!” รอนว่าขณะยังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก เฮอร์ไมโอนี่มองแบบขยะแขยงเล็กน้อย
“อย่าเคี้ยวอาหารแล้วพูดได้ไหม โรนัลด์ วิสลีย์” เจ้าหล่อนว่า “อีกอย่างนะระหว่างฉันกับรอนเธอจะเชื่อใครมากกว่ากันฉันไม่รู้นะแฮร์รี่ แต่ถ้าเรื่องที่ใครบางคนทำให้เธออยู่ตอนนี้แล้วเธอกลับรู้สึกดีด้วย ฉันว่าเธอก็ไม่ควรละเลยมันหรอกนะ” กล่าวจบก็หันไปตีมือพ่อคนตะกละเสียงดังป๊าบให้คนอื่นๆ ในโต๊ะหัวเราะกันแผ่วๆ
แฮร์รี่ยิ้มนิดๆ เมื่อสีสันโต๊ะกริฟฟินดอร์เริ่มกลับมาบ้างแม้จะประปราย การสูญเสียทำให้พวกเขาเจ็บปวด แฮร์รี่มั่นใจว่าครอบครัววิสลีย์ก็เช่นกัน พวกเขาสูญเสียเช่นกัน รอนเองถึงจะเห็นเหมือนกับว่าไม่ได้คิดอะไรมากแล้ว แต่แฮร์รี่ก็มักจะเห็นรอนหยิบภาพครอบครัวขึ้นมาดูแล้วลูบที่รูปใครบางคนด้วยสายตาเศร้าๆ ทุกคืนก่อนนอน
จอร์จเองเมื่อพูดถึงสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ๆ ก็มักจะมีแววตาเศร้าราวคนจะร้องไห้ แฮร์รี่รู้ดีว่าเขาอาจไม่เข้าใจความรู้สึกของจอร์จมากนัก แต่เขาก็พยายามนึกดู... ถ้าเขาเป็นจอร์จ จู่ๆ พี่น้องฝาแฝดของตัวเองที่อยู่เคียงข้างกันมาตลอดกว่า 17 ปีมาจากกันไป จะรู้สึกยังไง...
ทั้งเหงา หดหู่ เศร้าโศก... เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างหายไปจากชีวิต ราวชีวิตไม่ได้ถูกเติมเต็มอย่างเมื่อก่อน ราวหัวใจตอนี้เหลือเพียงครึ่งดวง รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไม่เหมือนเดิม ตื่นมาไม่เจอใครที่คอยอยู่เคียงข้าง ประคับประคองช่วยเหลือกันเหมือนก่อน... แฮร์รี่มันใจว่าจอร์จคงแอบร้องไห้ทุกๆ ครั้งภายใต้ใบหน้าแย้มยิ้มนั่น
การสูญเสียสร้างความเจ็บปวดอย่างมากให้กับทุกคน บางครั้งแฮร์รี่ก็คิด... อยากย้อนเวลากลับไป ก่อนซีเรียสจะตกลงไปในม่านนั่น ก่อนเซดริกจะถูกฆ่า เขาอยากย้อนเวลากลับไปกำจัดโวลเดอร์มอร์ตั้งแต่ตอนนั้น บางทีการสูญเสียคงน้อยลง
แต่หากทำอย่างนั้น อนาคตที่เกิดขึ้นก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรบ้าง...
เด็กกริฟฟินดอร์และเด็กสลิธีรินเดินไปในเส้นทางเดียวกันเพื่อไปสู่ห้องเรียนวิชาแปลงร่าง ทุกคนหาที่นั่งให้ตัวเอง รอนไปนั่งข้างๆ เฮอร์ไมโอนี่แฟนสาวของเขา ส่วนแฮร์รี่แยกไปนั่งคนเดียวอยู่ด้านหลัง พอรอนหันไปเห็นก็แทบจะลุกขึ้นนั่งด้วย ถึงแม้แฮร์รี่อาจอยากอยู่คนเดียว แต่ช่วงเวลาแบบนี้ก็ควรมีเพื่อนไปนั่งให้กำลังใจข้างๆ บ้าง
ยังไม่ทันที่รอนจะลุกขึ้น ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ซีดก็เดินเร็วๆ ไปนั่งข้างแฮร์รี่ทันที ฝ่ายหลังดูจะตกใจที่จู่ๆ คู่อริก็มานั่งข้างๆ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร ส่วนเพื่อนรักของเขาที่หันมามองตามไอ้ศัตรูตัวฉกาจแล้วต้องอ้าปากค้าง
“ฉันควรไปนั่งข้างแฮร์รี่” รอนเอ่ยขึ้นทำท่าจะลุกไปกระชากมัลฟอยออกมาจากเพื่อนร่างบอบบาง แต่แฟนสาวกลับดึงแขนเอาไว้แล้วกระชากเบาๆ (ที่สำหรับเขาแล้วมันคือแรงช้าง) ให้เขานั่งลงกับที่
“ศาสตราจารย์มักกอนนากัลมาแล้ว” เธอส่งเสียงขู่เบาๆ
ประจวบเหมาะกับร่างของหญิงชราที่เดินเข้ามา หลังของหล่อนเหยียดตรง นัยน์ตาทั้งสองคู่มองเด็กนักเรียนทุกคนผ่านกรอบแว่น ใบหน้าของหล่อนหันมองรอบๆ ก่อนพยักหน้าอย่างพอใจกับความเรียบร้อยภายในห้อง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคู่อริทั้งสองที่นั่งข้างกัน ในใจแอบรู้สึกหวั่นเกรงเล็กน้อยว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกไป
“เอาล่ะ!” ศาสตราจารย์มักกอนนากัลป์เคาะไม้กายสิทธิ์ลงกับฝ่ามือของตัวเองเบาๆ สามที สายตายังคงกวาดมองนักเรียน “วันนี้... เราจะมาเรียนการแปลงร่างเป็นเพศฝ่ายตรงข้าม”
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นในหมู่นักเรียน นักเรียนชายหลายๆ คนหน้าถอดสี บ้างทำหน้าขยะแขยงสุดๆ ขณะที่นักเรียนหญิงต่างหันไปมองเพื่อนตาลีตาเหลือกกันยกใหญ่
“อะแฮ่ม!” ศาสตราจารย์มักกอนนากัล เคาะไม้กายสิทธิ์อีกครั้งให้ทุกคนเงียบ
“พวกเธออย่าเอ็ดไป ฉันจะสุ่มพวกเธอออกมาสี่คน ชายสอง หญิงสอง บ้านละสอง เข้าใจใช่ไหม” เด็กทุกคนพยักหน้ารับดูสีหน้าที่แตกต่างกัน “เอาล่ะ! ถ้าเช่นนั้นขอเริ่มที่ฝ่ายหญิงก่อนแล้วกัน” หนุ่มๆ หลายคนถอนหายใจเฮือกเป็นแถบ
“ขอบ้านกริฟฟินดอร์ก่อนแล้วกัน... ฉันอยากเห็นความสามารถทางการร่ายคาถานี้ของเธอ คุณเกรนเจอร์” สายตาทุกคู่หันขวับไปจ้องมองเฮอร์ไมโอนี่ทันที รวมถึงแฮร์รี่ด้วย
รอนเบ้หน้า เป็นผู้หญิงก็แรงเยอะอยู่แล้ว เป็นผู้ชายมันจะไม่ยิ่งแล้วใหญ่หรือยังไง
หญิงสาวลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับศาสตราจารย์ใหญ่ ที่ยังคงมาสอนหนังสือเด็กๆ เหมือนเดิมคนนี้ ในใจของเธอกำลังท่องไว้ให้ใจเย็นๆ และเธอทำได้น่าเฮอร์ไมโอนี่
“อัลลา มุลัคชิโอ้ คือคาถาสำหรับวันนี้” มักกอนนากัลกล่าวพลางมองมาที่หญิงสาวแล้วแย้มยิ้มบางๆ “เธอคงรู้กฎของมันใช่ไหมคุณเกรนเจอร์”
“แน่นอนค่ะศาสตราจารย์ อัลลา มุลัคชิโอ้ คาถาที่ใช้ในการแปลงเป็นเพศตรงข้ามนั้น จะไม่สามารถสลายคาถาได้ในทันที จนกว่าจะครบ 24 ชั่วโมงหลังการแปลงร่างค่ะ!” เฮอร์ไมโอนี่ตอบเสียงหนักแน่น มักกอนนากัลยิ้มชอบใจ
แต่คำตอบของหล่อนเล่นเอาผู้ชายหลายๆ คนหน้าถอดสี
“เช่นนั้น... ขอให้เธอแสดงให้เราได้เห็น คุณเกรนเจอร์” มักกอนนากัลผายมือเชิญให้หญิงสาว
เฮอร์ไมโอนี่สูดหายใจลึกๆ พยักหน้ารับแล้วสะบัดไม้กายสิทธิ์ในมือของหล่อน พร้อมร่ายคาถาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อัลลา มุลัคชิโอ้!”
ร่างของหญิงสาวราวถูกหมุนด้วยความเร็วสูงที่ทุกคนไม่สามาถมองตามได้ทัน ก่อนจะแทนที่หญิงสาวด้วยชายหนุ่มรูปร่างสูงบาง ใบหน้าติดหวานอยู่นิดๆ แต่กลับดูดีกว่าผู้ชายหลายๆ คน คิ้วเรียวโก่งสูง ริมฝีปากเรียวบางได้รูป เรือนผมสีน้ำตาลหยักที่เคยรวมผูกเอาไว้กลางหลัง บัดนี้เปลี่ยนเป็นตัดสั้นระหัวไหล่ นัยน์ตากลมโตสวยอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นคมเข้มดุจเหยี่ยว ชุดนักเรียนที่สวมใส่กลับกลายเป็นชุดทักสิโดสีขาวสะอาดสะอ้าน
โดยรวมแล้ว ประหนึ่งคุณชายผู้มีเสน่ห์อย่างไรอย่างนั้น
รอนอ้าปากค้างมองแฟนสาวที่เปลี่ยนไป ในขณะที่มักกอนนากัลป์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เฮอร์ไมโอนี่แย้มยิ้มนิดๆ เรียกเอาสาวๆ แทบใจละลาย คงลืมไปแล้วกระมังว่า เขา (หล่อน) เป็นหญิงสาว หนุ่มๆ หลายคนมองเขา (หล่อน) อ้าปากค้างตกตะลึงไม่คิดว่าจะเปลี่ยนได้ขนาดนี้
“ให้ตาย...” รอนจ้องเฮอร์ไมโอนี่ไม่วางตา ขณะที่อีกฝ่ายกำลังนั่งลง “ไม่อยากเชื่อว่าจะเปลี่ยนไปขนาดนี้”
เฮอร์ไมโอนี่ยักไหล่แล้วหันกลับไปมองมักกอนนากัล เลือกเหยื่อสาวบ้านสลิธีรินต่อ ซึ่งหญิงสาวคนนั้นก็สามารถร่ายแปลงกายได้อย่างไร้ที่ติ จากนั้นมักกอนนากัลก็เลือกเหยื่อชายบ้านสลิธีรินที่กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ ใบหน้าซีดเผือด
ทำใจอยู่นาน ผู้โชคร้ายก็ลุกขึ้นแล้วร่ายคาถา ที่ทำให้โดนเพื่อนๆ ชายบ้านสลิธีรินล้อไปอีกนาน
“ใครจะเป็นผู้โชคร้าย” เสียงเซมัสดังขึ้นข้างๆ รอนจากอีกโต๊ะใกล้ๆ กัน เขากลืนน้ำลายเอื๊อก “ต้องไม่ใช่ฉัน”
“ไม่ใช่ฉันด้วย” ดีนหน้าซีด คิดสภาพตัวเองตอนร่ายคาถานั้นเสร็จไม่ออก
“ไม่มีใครอยากทั้งนั้นแหละ” เนวิลล์กล่าว “ฉันก็เหมือนกัน”
“แน่นอน” รอนพยักหน้าเห็นด้วย
“เอาล่ะ ต่อไปก็กริฟฟินดอร์... ฉันอยากเห็นคุณ—” หนุ่มๆ กริฟฟินดอร์หน้าถอดสี “—พอตเตอร์”
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้น สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เด็กหนุ่มร่างเพรียวบางที่ตอนนี้เบิกตากว้าง ดูตกใจ คู่อริที่นั่งข้างๆ ยังคงรักษาท่าทีนิ่งเฉยเบื่อหน่ายด้วยการนั่งเท้าคาง แล้วทำเพียงแค่เหลือบมามอง หากแต่ในใจก็กำลังเรียกร้องอยากจะได้ยลโฉมร่างบอบบางนี้ตอนเป็นหญิงสาวสักครา
แฮร์รี่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยความไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก สีหน้าของเขายังคงดูไม่ดีเช่นเดิมตั้งแต่หลังสงคราม มักกอนนากัลมองแฮร์รี่ด้วยสายตาที่แสดงถึงความเป็นห่วง อันที่จริงถ้าแฮร์รี่ไม่พร้อมจะร่ายคาถาหล่อนก็ยินดีที่จะเปลี่ยนคน
แต่แฮร์รี่ค่อยๆ สะบัดไม้กายสิทธิ์ “อัลลา มุลัคชิโอ้!”
ร่างของแฮร์รี่ราวถูกหมุนอย่างรวดเร็ว แทนที่ชายหนุ่มด้วยหญิงสาวรูปร่างบอบบาง ใบหน้าหวานแต่งแต้มสีแดงจางๆ ร้อนผะผ่าวด้วยความเอียงอาย นัยน์ตากลมโตคู่สวยสีมรกตเสหลบมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตาใคร เรือนผมที่เคยเป็นสีดำยุ่งเหยิงในตอนนี้ยาวสยายดัดลอนอยู่ด้านหลัง โดยที่บางส่วนถูกรวบไปผูกไว้ด้วยโบว์สีขาว
แฮร์รี่อยู่ในชุดกระโปรงยาวถึงเข่า สีขาว – น้ำเงินเข้มในส่วนบนมีระบายสีชมพูอ่อนๆ ขั้น และลาดยาวเป็นกระโปรงคล้ายทรงฟักทองสีดำสลับเทาเป็นลายทาง มือทั้งสองข้างสวมถุงมีสีชมพูอ่อนแกมขาวที่ลาดยาวขึ้นเลยศอก ผูกด้วยเชือกไขว้เป็นรูปกากบาทสองครั้ง เขาสวมรองเท้าสีฟ้าอ่อนประดับด้วยริบบิ้นผูกเป็นโบว์สีขาว และบุษราคัมตรงกึ่งกลาง

สายตาทุกคู่จ้องมองแฮร์รี่ค้างนิ่งไม่เว้นแม้แต่สาวๆ มักกอนนากัลมองแฮร์รี่ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพยักหน้าให้ แฮร์รี่นั่งลงด้วยความเขินอาย ใบหน้าหวานก้มงุด ในขณะที่คนทั้งห้องกลืนน้ำลายเอื๊อกแล้วหันกลับไปฟังมักกอนนากัลพูดต่อ
“หึ... ดูไม่ได้เลยนะพอตเตอร์” เสียงเดรโกดังขึ้น แฮร์รี่ทำเพียงหันมองเขาเล็กน้อย “การแปลงร่างเป็นผู้หญิงมันดูเสียศักดิ์ศรี... นายว่าไหม” เดรโกเหยียดยิ้ม
“อย่างน้อยบ้านนายก็มีอีกตั้งคน” เสียงหวานใสราวสกุณาเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา
แต่ก็ดังพอที่จะทำให้มันก้องอยู่ในหัวของคู่อริ... เดรโกนิ่งค้างทันทีที่ได้ยิน
เสียงที่มันหวานอยู่แล้ว ดันหวานขึ้นไปอีกให้ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เดรโกลืมประโยคทีตนจะกล่าวไปแทบทันที ใบหน้าคมคายขึ้นสีระเรื่อจางๆ นัยน์ตาสีฟ้าซีดมองสาวน้อยข้างตัวไม่วางตา
“บ้านฉันมีคนหนึ่งก็จริง... แต่ก็ไม่ได้น่าดูเท่านายเลยพอตเตอร์”
แฮร์รี่ไหวตัว ใบหน้าหวานแดงฉ่าร้อนผะผ่าวไปหมด ไม่เข้าใจความหมายที่เดรโกพยายามจะสื่อ แต่ใจของหล่อน (เขา) กลับเต้นแปลกๆ แฮร์รี่หันหน้าหลบไปอีกทางเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนหน้าแดงแค่ไหน เดรโกมองอากัปกิริยาอีกฝ่ายนิ่ง
“ฉันว่ามันไม่เกี่ยวกัน” แฮร์รี่กล่าวเสียงแผ่ว
“...งั้นเหรอ...” เดรโกตอบรับเสียงกระซิบ “ฉัน... ว่าคำนี้ไม่เหมาะที่ฉันจะพูด แต่อดไม่ได้ที่จะพูด...”
แฮร์รี่หันมามองเดรโกเล็กน้อยอย่างสงสัย ทังที่ใบหน้าหวานล้ำนั่นยังแดงระเรื่อ
“...น่ารัก...” นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างเล็กน้อย ตอนนี้ใบหน้าของหล่อน (เขา) แดงยิ่งกว่าลูกเชอร์รี่เสียอีก “ฉันว่านาย..น่ารักดี... จะชายหรือหญิงก็น่ารัก” ประโยคหลังแผ่วเบาราวพูดกับตัวเอง
ตอนนี้แฮร์รี่เริ่มวางตัวไม่ถูก หล่อน (เขา) แสร้งทำทีกลับไปฟังสิ่งทีมักกอนนากัลกล่าว ทั้งๆ ที่มันไม่เข้าหัวเลยสักนิด หัวใจของหล่อน (เขา) เต้นแรงมากแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แฮร์รี่ไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ รวมถึงความอบอุ่นประหลาดที่ฝากมากับคำพูดของคู่อริคนนี้
ไม่เข้าใจ... ไม่เข้าใจจริงๆ
ทันทีที่หมดคาบเรียน แฮร์รี่ก็ลุกขึ้นพรวดพร้อมเดินเร็วๆ เข้าไปหาเพื่อนสนิททั้งสอง รอนและเฮอร์ไมโอนี่ไม่เดินข้างกันเหมือนปกติ ไม่ใช่ว่ารอนรังเกียจเฮอร์ไมโอนี่ในร่างชายหนุ่มนะ แต่ไอ้สายตาแทะโลมหลายๆ คู่ที่จ้องมาที่เพื่อนรักในร่างหญิงสาวเนี่ยสิ ที่ทำให้รอนกับเฮอร์ไมโอนี่อดไม่ได้ที่จะเดินประกบแฮร์รี่ พร้อมส่งสายตาพิฆาตไปให้รอบๆ ตลอดทางที่เดิน
เสียงซุบซิบดังขึ้นทุกย่างก้าวและทุกเส้นทางที่แฮร์รี่เดินไป หนุ่มๆ หลายคนที่เดินผ่านถึงกับต้องเหลียวหลังมองอย่างอดไม่ได้ แววตาแต่ละคนนี่เป็นมันเชียว เปล่งประกายแปลกๆ ที่รอนและเฮอร์ไมโอนี่มั่นใจว่ามันต้องคิดอะไรชั่วๆ อยู่แน่
“ช่วยบอกฉันทีว่านั่นแฮร์รี่ พอตเตอร์”
“ให้ตายเถอะ... เธอคนนั้นคือแฮร์รี่จริงๆ เหรอ!? น่ารักมาก”
“สวรรค์... ดูเขาสิ! ขนาดผู้หญิงยังอาย! น่ารักไปแล้ว กรี๊ด!!”
“บอกทีว่าฉันตาฝาดไป!”
และอีกหลายๆ ประโยคที่ดังขึ้นตลอดทางเดิน จะชายจะหญิง รุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นเดียวกันต่างมองแฮร์รี่ไม่ละสายตา ทั้งทึ่ง ทั้งอึ้ง เป็นโอกาสหายากทีเดียวที่จะได้ยลโฉมแฮร์รี่ พอตเตอร์ในคราบหญิงสาวหน้าตาน่ารัก
แฮร์รี่มุ่นคิ้ว หล่อน (เขา) ไม่ชอบอะไรแบบนี้เอาเสียเลย ทั้งเสียงซุบซิบ และสายตาพวกนี้
ระหว่างที่กำลังเดินมุ่นคิ้วอยู่ระหว่างเพื่อนรักทั้งสอง จู่ๆ ก็มีใครบางคนมาแทรกเบียดรอนพร้อมดึงแฮร์รี่ออกไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางนัยน์ตาที่เบิกกว้างของทุกๆ คน เฮอร์ไมโอนี่และรอนมองหน้ากัน รอนอ้าปากค้างมองเฮอร์ไมโอนี่อย่างจะถามว่า ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม
“เดรโกนี่ไม่ไหวเลยนะว่าไหม”
เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังรอน ทำให้เขาสะดุ้งหันไปมอง เฮอร์ไมโอนี่เองก็มองเจ้าของเสียงนิ่ง แล้วเอ่ยชื่ออีกฝ่าย
“พาร์กินสัน”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้น พร้อมเหยียดยิ้มอย่างถือดี หล่อนกอดอกแล้วมองไปตามทางทีแฮร์รี่ถูกลากไป
“ฉันว่าเขาหึง”
“แน่ล่ะ... ดูสายตาแต่ละคนที่มองแฮร์รี่สิ”
“ที่น่าตกใจคือ ฉันไม่เคยเห็นเดรโกอดทนได้ขนาดนี้”
“เอ้อนี่! ฉันเห็นแฮร์รี่หน้าแดงตอนกระซิบกระซาบคุยกับมัลฟอยในห้องเรียนวิชาแปลงร่าง ถึงฉันจะไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกัน แต่ฉันว่าหมอนั่นทำได้ดีทีเดียวนะ”
“เธอรู้เหรอ?” แพนซี่มองเฮอร์ไมโอนี่อย่างไม่นึกประหลาดใจนัก
“แน่นอน” อีกฝ่ายยักไหล่
ทั้งสองเดินคุยกันอย่างนั้น ปล่อยให้รอนยืนเอ๋อ งงเป็นไก่ตาแตกไม่เข้าใจที่สองสาว (ซึ่งหนึ่งคนอยู่ในคราบชายหนุ่ม) คุยกัน ก่อนเขาจะต้องรีบวิ่งตามไปเมื่อสองคนนั้นทิ้งระยะห่างจากเขาไปจนจะลับตาอยู่แล้ว
“เฮ้! รอด้วยสิ!!”
“มัลฟอย! นายจะพาฉันไปไหน?”
เสียงหวานใสตะโกนถามชายหนุ่มตรงหน้าที่เอาแต่ลากหล่อน (เขา) ไปไม่หยุด ใบหน้าคมคายของเขานั่งนิ่งสนิทอย่างกับหิน นัยน์ตาคมกริบสีฟ้าซีดตวัดมองผู้คนรอบข้างที่ริอาจมามองพวกเขา โดยเฉพาะไอ้พวกผู้ชายที่มันมองหญิงสาวไม่วางตา
หงุดหงิด... อารมณ์ของเขาตอนนี้คือหงุดหงิด... หงุดหงิดสุดๆ
“นี่! มัลฟอย!”
เสียงหวานยังคงตะโกน และเริ่มติดจะหอบนิดๆ นั่นทำให้เขายอมชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยเพิ่งให้หญิงสาวเบื้องหลังที่ถูกลากมาได้หายใจบ้าง และเขาเริ่มเดินช้าลงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเริ่มไม่มีผู้คนแถวนั้น จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ที่ทะเลสาบ
ทันทีที่ข้อมือถูกปล่อย ร่างบอบบางอรชรก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าอย่างรวดเร็ว พลางหอบหายใจสูดรับอากาศออกซิเจน เนื่องจากหล่อน (เขา) โดนลากมา และแทบหายใจไม่ทันทุกจังหวะก้าวเดินเพื่อตามให้ทันชายร่างสูง
เดรโกมองแฮร์รี่นิ่ง
“แค่นี้ก็เหนื่อย” เขาว่าเบาๆ แต่เรียกให้นัยน์ตาสีมรกตคู่สวยตวัดมองแทบทันที
เดรโกไม่สนใจ เขาทรุดตัวนั่งลงข้างๆ แฮร์รี่ พลางเหม่อมองไปยังทะเลสาบ แฮร์รี่เองก็ไม่คิดโวยวายอะไร สายตาจับจ้องมองคู่อริตลอด 7 – 8 ปีคนนี้ แล้วเบนสายตามองไปยังทะเลสาบเช่นกัน
ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุม มีเสียงสายลมพัดผ่านแผ่วเบาให้ใบหญ้าพลิ้วไหวขยับ เสียงนกร้องดังแว่วมาจากที่ไหนสักที่ขับร้องพร้อมเพรียงกับสายลมชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ดวงตากลมโตสดใสค่อยๆ ปรือหลับลง ใบหน้าหวานขยับเงยเล็กน้อยรับสัมผัสสายลมอันแผ่วเบา
ใบหน้าของใครบางคนลอยเข้ามาในห้วงคำนึงอีกครั้ง
แฮร์รี่ขยับตัวรวบกระโปรงแล้วชันเขาขึ้นกอด พอมีบรรยากาศเงียบสงบชวนผ่อนคลายแบบนี้ก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา ภาพของคนๆ นั้นวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด รอยยิ้มของเขาที่ส่งมา คำเอ่ยเชิญชวนให้ไปอยู่ด้วยกันในครั้งนั้น...
ความสุขที่เกือบจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว...
...และพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
ริมฝีปากอวบอิ่มนั่นเม้มแน่น และเริ่มคิดอีกครั้งว่าทำไม ทำไม เพราะอะไร หล่อน (เขา) อยากมีความสุขแบบคนทั่วไป อยากมีครอบครัว มีคนที่หล่อน (เขา) รักอยู่เคียงข้าง มีคนที่รักหล่อน (เขา) อยู่ด้วยกัน มีความอบอุ่นถักทอพันผูกด้วยสายใยที่ไม่มีวันตัดขาด
แต่สงครามพรากมันไปหมดสิ้น...
นัยน์ตาสีฟ้าซีดเหลือบมองหญิงสาวข้างกายที่ซุกหน้าลงกับเข่า แรงสั่นน้อยๆ ที่ช่วงไหล่พร้อมกับเสียงที่ดังแผ่วเบาทำให้เข้ารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ เดรโกหลุบตาลงต่ำ เขาไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ควรทำยังไงดี เขาปลอบใครไม่เป็นและไม่เคยคิดจะปลอบใคร
แน่นอนว่าคู่อริเขาคนนี้เป็นคนแรกที่เขาคิดจะปลอบ...
...และเป็นคนสุดท้ายที่เขาจะปลอบด้วยเช่นกัน
แฮร์รี่สะอื้นไห้ บางทีการอยู่ในร่างของผู้หญิงอาจทำให้หล่อน (เขา) อ่อนไหวง่ายกว่าปกติมาก หล่อน (เขา) ไม่ควรร้องไห้ตอนนี้ ต่อหน้าคู่อริของหล่อน (เขา) บางทีมัลฟอยอาจกำลังเหยียดยิ้มเย้ยหยัน หรือหัวเราะเยาะเขาอยู่ก็ได้
แต่แล้วสัมผัสแผ่วเบาก็วางลงบนไหล่บอบบาง แฮร์รี่สะดุ้งจนเงยหน้าขึ้นจากเขา น้ำตายังรินไหลไม่หยุด นัยน์ตาสีมรกตเบิกกว้างเล็กน้อย เมื่อใบหน้าหวานผินไปมองเจ้าของมือนี่ นัยน์ตาสองคู่สบมองกัน ความรู้สึกบางอย่างกำลังหลั่งไหลเข้ามาโอบอุ้มจิตใจที่อ่อนแอของหล่อน (เขา) ไว้
“มัลฟอย—”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น... ถ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ” มือแกร่งที่จับไหล่บางนั่นเอาไว้ เปลี่ยนมาเป็นสัมผัสใบหน้าหวานแผ่วเบา ขยับนิ้วโป้งปาดน้ำตาอย่างอ่อนโยน “นาย — เธอจะได้กลับมาร่าเริงเร็วๆ แล้วทะเลาะกับฉันอีกไง ต่อว่าฉัน ด่าฉันสักยกใหญ่ๆ... เป็นแบบนี้รู้ไหมว่ามันทำให้ฉันรู้สึกรำคาญใจ เธอตอนนี้ไม่สมกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ใครๆ ต่างยกย่องสรรเสริญเยินยอเลยนะจะบอกให้ เห็นแล้วรู้สึกเบื่อหาเรื่องชวนทะเลาะก็ไม่ได้—“
เดรโกพูดแล้วเริ่มบ่น แต่กลับทำให้เกิดรอยยิ้มเล็กๆ แต่งแต้มบนใบหน้าหวาน
“—รู้ไหมฉันนี่หมดสนุกหลายครั้งเลยนะพอเห็นเธอเป็นแบบนี้ เพราะงั้นอยากระบายก็ระบายมา จะได้เรื่องทำตัวงี่เง่าสักที ฉันล่ะเบื่อจะแย่อยู่แล้ว เป็นแบบนี้ต่อไปพอถึงช่วงที่แข่งควิชดิช ฉันก็ไม่ได้แข่งกับเธอกันพอดี พวกวีเซิลมันคงไม่ยอมให้เธอลงแข่งแน่ๆ... แล้ว—“
“ขอบคุณนะ...”
เดรโกชะงักเมื่อได้ยินเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา เขามองแฮร์รี่ด้วยความประหลาดใจ เห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มจางๆ มาให้ น้ำตาไหลรินอาบแก้มนวลนั้นหนักขึ้นไปอีก หญิงสาวเริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้งพร้อมเอ่ยคำที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ
“ขอบคุณนะมัลฟอย... ฮึก ขอบคุณ... ฮึก... ขอบคุณนะ”
เดรโกเบิกตากว้าง เขาเสียหลักเล็กน้อยอย่างไม่ทันตั้งตัว ใช้แขนข้างที่ว่างยันตัวเอาไว้ไม่ให้ล้มตัวลงไปนอนแผ่กับพื้นหญ้าเมื่อจู่ๆ แฮร์รี่ก็โถมตัวเข้ามากอดเขาเอาไว้พลางสะอึกสะอื้นปล่อยโฮออกมายกใหญ่ เดรโกยันตัวนั่งดีๆ เขาถึงกับขยับไม่ออกไปชั่วขณะ ก่อนที่จะโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้อย่างอ่อนโยน มือข้างหนึ่งลูบศีรษะคนในอ้อมแขนอย่างปลอบประโลม
มือบางทั้งสองข้างกำเสื้อนักเรียนของคู่อริจนยับยู่ยี่ ใบหน้าหวานซุกลงกับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่ายอย่างหาที่พักพิง ไม่เคยคิด ไม่เคยคาดคิดเลยจริงๆ ว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านั้นจากปากของคนๆ นี้ คำพูดที่แฝงมาพร้อมความห่วงใย ถ้อยคำที่ทำให้หัวใจพองโตได้อย่างน่าประหลาดเหล่านั้น ไม่คิดเลย ว่าคนที่กล่าวถ้อยคำนี้จะเป็น คู่อริของหล่อน (เขา) เอง

เดรโกเลือกที่จะนั่งเงียบ เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ปกคลุมอยู่เบื้องบน เสื้อของเขาเปือกไปหมด จากน้ำตาของอีกฝ่าย และเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เขารู้สึกว่าคนในอ้อมแขนช่างบอบบาง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแบกรับภาระทั้งหมดไว้บนบ่าเล็กๆ เหล่านี้ได้อย่างไร
ทั้งความเจ็บปวดทรมาน เด็กคนนี้แบกรับและผ่านมาได้ยังไง
“เฮ้ ดีขึ้นหรือยัง...?”
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เดรโกไม่มั่นใจว่ามันผ่านมากี่สิบนาทีแล้ว หรืออาจจะสักชั่วโมงกว่าๆ ได้แล้วกระมัง เขาเอ่ยถามคนในอ้อมกอเสียงแผ่วเมื่อเสียงสะอึกสะอื้นเริ่มหายไป ร่างบางๆ ของหญิงสาวยังคงดูสั่นเทา
แฮร์รี่ไม่ตอบ เพียงแต่ขยับศีรษะเล็กน้อยให้เขาพอรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังบอกว่าดีขึ้นแล้ว ร่างอรชรของหญิงสาวดันออกจากอกของเขาเล็กน้อย ไม่ยอมเงยหน้า และเขารู้ว่าอีกฝ่ายยังคงสะอื้นอยู่เมื่อร่างเล็กนั่นยังคงสั่น
มือแกร่งเชยคางอีกฝ่ายให้สบตามอง แฮร์รี่ผงะเล็กๆ นัยน์ตาสีเขียวทะเลหม่นมองนั่นฉายแววประหลาดใจระคนตกใจกับการกระทำของคู่อริ สบกับนัยน์ตาสีฟ้าซีด นิ้วโป้งปาดตามพวงแก้มใสที่ขึ้นสีแดงจางๆ จากการสะอื้นไห้อย่างหนัก น้ำตาที่ยังคลอเบ้าอยู่ถูกเช็ดออกไปอย่างอ่อนโยน
แฮร์รี่หลุบตาลงต่ำกับความรู้สึกประหลาด ที่ก่อตัวในจิตใจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหล่อน (เขา) รู้สึกดีเมื่ออยู่กับคู่อริในเวลาแบบนี้
รู้สึกอบอุ่น... อบอุ่นเหมือนสิ่งที่หล่อน (เขา) เคยปรารถนาอยู่บ่อยครั้ง
แฮร์รี่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายรั้งเอวของหล่อน (เขา) ให้เข้ามาใกล้ นัยน์ตากลมโตคู่สวยสบกับนัยน์ตาคมนั่นอีกครั้ง สัมผัสแผ่วเบาและนุ่มนวลประทับลงบนริมฝีปากอวบอิ่ม ไม่เร่าร้อน ไม่วาบหวาม ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่น
แฮร์รี่ไม่ปฏิเสธจูบที่เดรโกมอบให้ และไม่ปฏิเสธเช่นกันว่าหล่อน (เขา) รู้สึกโหยหารสสัมผัสนี่มากแค่ไหน แต่หล่อน (เขา) ก็ยังไม่เข้าใจหัวใจของตัวเองเท่าใดนัก ในตอนนี้รู้แต่ว่า ความรู้สึกของหล่อน (เขา) ราวถูกโอบอุ้มอยู่ในแสงสว่างจางๆ ภายใต้ความมืดมิดไร้ทางออก
แสงสว่างจางๆ ขาวนวลลออ มาพร้อมความนุ่มนวล อ่อนโยนและอบอุ่น
สิ่งที่หล่อน (เขา) เคยมีครั้งหนึ่ง ตอนที่ได้พบซีเรียส แบล็ก พ่อทูนหัวคนสำคัญและรีมัส ลูปินคนที่เปรียบเสมือนพ่อทูนหัวอีกคน แน่นอนว่าครั้งนี้มันแต่ต่าง แต่คล้ายคลึง เหมือนแสงสว่างที่แม่มอบให้ก่อนจากไปตลอดกาล เหมือนแสงสว่างที่คอยโอบรอบตัวเขาจากคนเหล่านั้นที่จากเขาไป
ใช่แล้ว... มันคือความรัก
แต่แฮร์รี่ไม่มั่นใจ พูดตรงๆ คือหล่อน (เขา) ไม่เข้าใจคู่อริของหล่อน (เขา) เท่าไหร่ ถ้าจะบอกว่านี่เป็นความรักที่อีกฝ่ายกำลังมอบให้หล่อน (เขา) คงเชื่อได้ยาก กับคู่อริที่ขัดแย้งกันมากว่า 7 ปีคนนี้ แต่แฮร์รี่ก็บอกได้ว่าคู่อริของหล่อน (เขา) เปลี่ยนไปมาก... พอๆ กับที่แฮร์รี่เปลี่ยนไป หรืออาจมากกว่า
เดรโกถอนจูบออกแล้ว และแฮร์รี่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าของทั้งคู่ขึ้นสีระเรื่อเพียงจางๆ มือของเดรโกยังคงโอบเอวแฮร์รี่เอาไว้ มีรั้งเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อยบ้าง แฮร์รี่ไม่ขัดขืน หล่อน (เขา) ตกอยู่ในภวังค์เสียส่วนใหญ่ ค่อนข้างสับสนกับความรู้สึกของตนเอง และไม่เข้าใจคนที่กอดหล่อน (เขา) ไว้แม้แต่น้อย
“นาย — เธอจะไปเรียนต่อไหม?” เดรโกเอ่ยถามเสียงแผ่ว
แฮร์รี่ตื่นจากภวังค์ความคิด เงยหน้ามองอีกฝ่าย “ฉันนึกว่ามันหมดเวลาไปแล้วเสียอีก”
“ไม่รู้สิ...” เดรโกเงยหน้ามองท้องฟ้า “งั้นค่อยกลับเข้าไปมื้อเย็นแล้วกัน”
“แล้วแต่เถอะ...” แฮร์รี่กระซิบเสียงแผ่ว นัยน์ตาปรือหลับลง “ฉัน... เพลียมาก... เลย”
เดรโกก้มหน้าลงมองทันที แฮร์รี่หลับไปแล้วหลังจากกล่าวประโยคสุดท้ายจบ นั่นทำให้เขาถอนหายใจจับร่างเล็กๆ นี่ขยับเล็กน้อยให้นอนพิงอกเขาดีๆ รอยยิ้มบางๆ ผุดบนใบหน้าคมคาย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขามีความสุข หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดเขายามหลับนั้นน่ารักน่าเอ็นดู
โดยไม่ทันรู้ตัว... เชือกสีดำเส้นหนึ่งพลันขาดสะบั้นลง
Kommentare