Chapter 4: Never Knew
- White&Fai
- Nov 10, 2017
- 5 min read
“นายตามฉันมาอีกแล้ว”
แฮร์รีเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาไม่คิดหันกลับไปมองด้านหลัง ฝ่ายหลังยิ้มออกมาเล็กๆ อย่างอดไม่ได้ เท้าทั้งสองเร่งให้เร็วขึ้นอีกนิด เพียงไม่กี่ก้าวก็ตามทันหญิงสาว เช่นเดิม ที่แฮร์รี่ไม่ได้กล่าวว่า ปฏิเสธหรือตอบรับอะไร นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมามองเล็กน้อย
“ใครตามเธอกัน” เดรโกแสร้งมองไปทางอื่น
แฮร์รี่ยิ้มนิดๆ “แน่ใจเหรอ?”
“เฮ้ๆ อย่าหลงตัวเองน่า ฉันจะตามเธอทำไมกันแฮร์รี่” เดรโกกล่าวกลบเกลื่อน
“จำไม่ได้ว่าเราสนิทกันถึงขนาดเรียกชื่อกันได้ อีกอย่างฉันไม่เคยอนุญาตให้นายเรียกชื่อฉันนะ มัลฟอย” แฮร์รี่หันหน้าไปอีกทางแล้วกล่าวขึ้นอย่างเชื่องช้าชัดถ้อยชัดคำ
เดรโกชะงัก เผลออึ้งไปชั่วขณะ รู้สึกตัวอีกทีร่างเล็กบางนั่นก็เดินห่างไปหลายก้าวพอสมควร
“เฮ้!” เดรโกร้องเรียก แล้ววิ่งตามมา แฮร์รี่ยังคงทำไม่สนใจ “เธอเองก็เรียกชื่อฉันนะ เมื่อเช้าน่ะ”
“ฉันแค่เผลอน่ะ” แฮร์รี่ตอบเสียงนิ่ง “ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนั้นเรียก”
ใบหน้าหวานผินมามอง “แต่รู้สึกนายจะเรียกชื่อฉันตั้งแต่เมื่อคืน?... ใช่ไหมมัลฟอย”
“เดรโก” แฮร์รี่เลิกคิ้วมองคู่อริอย่างแปลกใจ เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยชื่อของตน
“เรียกฉันว่า เดรโก” เดรโกเอ่ยขอร้องแกมบังคับ
“เฮ้...” แฮร์รี่ยิ้มจาง “ฉันก็เพิ่งบอกไปว่าเราไม่ได้สนิทกันถึงขนาด—”
“ไม่ได้เหรอ?” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขัด ส่อแววสลดลงเล็กน้อย ยิ่งเมื่อนัยน์ตาคมสีซีดนั่นหลุบลงอย่างเศร้าสลด
แฮร์รี่มองอีกฝ่ายนิ่ง หล่อน (เขา) ไม่เข้าใจคู่อริคนนี้เลยจริงๆ พักหลังนี่ท่าทางจะเปลี่ยนไปมาก ไม่รู้ไปทำอะไรมา แฮร์รี่มีความรู้สึกว่าคนข้างกายหล่อน (เขา) ตอนนี้ ไม่เหมือน เดรโก มัลฟอย ที่หล่อน (เขา) เคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย
“ก็... ยังไม่ได้ปฏิเสธ... หรือตอบรับอะไรทั้งนั้นแหละ”
แฮร์รี่เอ่ยเชื่องช้าแล้วสาวเท้าเดินต่อ เดรโกเองก็ยังคงเดินตามเหมือนเคย ทั้งคู่เดินเคียงกันเงียบๆ นัยน์ตาสีซีดจับจ้องไปที่ร่างเพรียวบางท่าเดียว ส่วนใบหน้าหวานของอีกฝ่ายกลับจับจ้องไปยังเบื้องหน้า สีหน้าเรียบเฉยนัยน์ตายังทอประกายความเศร้าสร้อยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
วิชาแรกสำหรับวันนี้... วิชาปรุงยา
แฮร์รี่หวนนึกถึงช่วงหลายปีที่ผ่านมา เซเวอร์รัส สเนปคอยหาเรื่องหักคะแนนหล่อน (เขา) กับเพื่อนๆ อยู่เป็นประจำ ให้ท้ายเด็กสลิธีรินบ้านของตนเอง และยังดูถูกถากถางพ่อของหล่อน (เขา) กับตัวหล่อน (เขา) เอง
แฮร์รี่รู้สึกเกลียดชังชายคนนั้นขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายพูดจาแบบนั้นถึงพ่อของหล่อน (เขา) แต่แล้วเมื่อปีก่อนก็กลับได้รู้ความจริงอันน่าสลดใจ ความจริงที่ทำให้แฮร์รี่เจ็บปวด เสียใจ และรู้สึกผิดมากเหลือคณา เพราะหล่อน (เขา) ไม่เคยคิดเลยว่าอดีตของชายคนนั้นจะดูหดหู่ถึงเพียงนี้
ที่น่าตกใจคือเซเวอรัส สเนปยังคงรักแม่ของหล่อน (เขา)... รักมาตลอด
มันเป็นความรักที่แฮร์รี่อดชื่นชมและไม่ชอบใจในเวลาเดียวกัน
ชื่นชมในความรักที่เป็นนิรันดร์ของชายคนนั้น แต่ก็ไมชอบใจในสิ่งที่เขาทำ... ทำทุกอย่างเพื่อความรัก เพื่อไขว่คว้าหญิงสาวคนหนึ่ง แฮร์รี่ไม่ค่อยเข้าใจความรักเท่าไหร่หรอก แต่เจออย่างนี้ ท่าทางที่เขาบอกว่าความรักทำให้คนตาบอดนี่ท่าจะจริง
เดรโกลอบมองเสี้ยวหน้าหวาน ที่เขาไม่ยักเห็นความแตกต่างมากมายระหว่างตอนเป็นชายและตอนนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คิดเหมือนเดิมเสมอ ว่าคู่อริหน้าหวานของเขาคนนี้เป็นผู้ที่น่าพิชิต ใช่ แล้วดูเหมือนเขาอยากจะพิชิตอีกฝ่ายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีก
พิชิตหัวใจอีกฝ่าย... หวังลบเลือนความเจ็บปวดให้เลือนราง
แน่นอนว่ามันไม่ง่ายนักหรอก เดรโกเล็งเห็นอยู่หรอกว่าในร่างนี้แฮร์รี่ดูอ่อนไหวง่ายกว่าเดิมมาก นั่นทำให้เขาพอมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อยที่จะตีสนิทอีกฝ่าย แต่ก็กลัวผิดหวังเหมือนกัน การเติบโตมาในตระกูลเลือดบริสุทธิ์เก่าแก่ที่ถูกเสี้ยมสอนมาว่าจะต้องได้ทุกอย่างที่ต้องการไม่ค่อยทำให้เขารู้สึกดีสักเท่าไหร่นักสำหรับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ
อีกอย่างหนึ่งที่เขานึกกังวลขึ้นมาคือ พ่อและแม่ของเขาจะยอมรับอีกฝ่ายหรือเปล่า (แน่นอนว่าถ้าเขาจีบติดล่ะก็นะ...)
นัยน์ตาสีมรกตคู่งามเหลือบมองร่างสูงที่เดินข้างเคียงเป็นเงาตามตัวพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจกว่าสามครั้งของอีกฝ่าย คงมีเรื่องไม่สบายใจพอให้เดาออกจากท่าทาง แต่ไม่รู้ว่าไม่สบายใจเรื่องอะไรนี่สิ
“ถอนหายใจมากๆ เดี๋ยวอายุก็สั้นลงหรอก” เอ่ยหยอกเล็กน้อยพอเป็นพิธีมองปฏิกิริยาอีกฝ่าย
นัยน์ตาคู่คมสีฟ้าซีดกระพริบปริบๆ เลิกคิ้วเล็กน้อยราวกับเจ้าตัวไม่ทันรู้สึกว่าตัวเองถอนหายใจออกมา? นั่นทำให้คนตัวเล็กกว่าต้องเลิกคิ้วสงสัยพอกัน แอบนึกขำปฏิกิริยาอีกฝ่ายเล็กน้อยพลางส่ายหน้าหน่อยๆ ทำราวกับตัวเองไม่ได้พูดอะไรออกไปแล้วเดินต่อ เรียกความงุนงงจากอีกคนที่ทำอะไรไม่รู้ตัวได้อย่างดี
“เพื่อนนายไปไหนล่ะ?” หลังจากที่รู้สึกว่ามันเงียบและอึดอัดเล็กน้อย เสียงหวานก็เอ่ยถามขึ้นเสียงแผ่ว เรียกให้ร่างสูงที่ตกอยู่ในภวังค์และถอนหายใจออกมากว่าสิบรอบไหวตัวอย่างไม่ทันได้ตั้งหลัก ก่อนคิดทวนคำถามอีกฝ่าย
“หือม์? อ้อ พวกนั้น... คงตามมาทีหลังนั่นแหละ เพราะฉันรีบลุกเดินตามเธอออกมาก่อน—”
“ตาม?” รอยยิ้มจางปรากฏบนใบหน้าหวานล้ำ
คิ้วเดรโกกระตุกกึก ราวขุดหลุมฝั่งตัวเองหลุดปากบอกอีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้นทั้งที่เมื่อครู่ยังทำปากแข็ง ยิ่งได้ยินเสียงหวานเล็ดลอดแผ่วเบาบ่งบอกว่ากำลังสะกดกลั้นไม่ให้ระเบิดหัวเราะออกมาเสียก่อนนั่น ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายชนะแบบไม่ทันรู้ตัว และตัวเขานั่นแพ้อย่างราบคาบ
“ไหนบอกว่าไม่ได้ตามไง” หญิงสาวเคียงข้างดูจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้หลุดลอย เอ่ยย้ำซ้ำเติมกรายๆ
“ก็ไม่ได้ตามไง” ยังคงปากแข็งต่อ “ใครบอกว่าตามกัน หูฝาดหรือเปล่า” บ่นอุบ เถียงเขาแบบฟังไม่ขึ้นแม้แต่น้อย ขณะที่ใบหน้าคมสลักขึ้นสีเข้มเล็กน้อย เรียกให้ดวงตากลมโตสีสวยมองดูอย่างพินิจ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเล็กน้อย ยักไหล่ส่งให้
“โอเค โอเค” สองเท้าพาตัวเองเดินเลี้ยวเข้าห้องเรียนวิชาคาถา “ไม่ได้ตามก็ไม่ได้ตาม”
เดรโกรีบเดินตามเข้าไปทันที เห็นศาสตราจารย์สอนวิชาคาถาตัวเล็กแห่งบ้านเรเวนคลอนั่งรออยู่แล้วบนโต๊ะด้านหน้า สองเท้าพาร่างสูงเดินไปนั่งเคียงร่างเล็กบางของหญิงสาว ฝ่ายศาสตราจารย์เลิกคิ้วมองแฮร์รี่อย่างแปลกใจ ก่อนนึกขึ้นได้ถึงวิชาแปลงร่างเมื่อวานที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลได้เอ่ยเล่าให้ฟัง
ประมาณสักยี่สิบนาทีต่อมา นักเรียนบ้านกริฟฟินดอร์และสลิธีรินก็เริ่มทยอยกันเข้ามา
“รุกฆาต”
“โธ่! ไม่นะ!! ทำไม่ฉันไม่ทันเห็น แย่จริง เอาใหม่อีกรอบ รอบสุดท้ายนะรอน!”
“นายบอกเอาใหม่อีกรอบ รอบสุดท้ายนะรอนมากว่าสิบรอบแล้วเซมัส...”
และอีกสารพัดเสียงของเพื่อนๆ ร่วมหอกริฟฟินดอร์ บ่ายวันนี้พวกเขาว่างไม่มีเรียน เป็นเหตุให้หลายๆ คนมานั่งหมกกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นรวม และดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะสนใจกับการเล่นหมากรุกพ่อมดของโรนัลด์ วิสลีย์ และเซมัส ฟินนิกัน ซึ่งไม่ทราบว่าเกิดไปพนันอะไรกันขึ้นมาถึงได้เล่นไม่เลิกไม่รากันอย่างนี้?
แฮร์รี่ (ที่ตอนนี้กลับมาอยู่ในร่างเดิมแล้ว – แน่นอนว่าดีใจเป็นอย่างมากที่คาถาสิ้นฤทธิ์ได้สักที) ส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วก้มหน้าก้มตาเปิดอัลบั้มรูปถ่ายดูเล่น ข้างๆ มีเฮอร์ไมโอนี่กำลังอ่านหนังสือไปสอนจินนี่ทำการบ้านบางวิชาที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจไป
หลังสงคราม ทุกคนในหอกริฟฟินดร์ต่างรู้ดีว่า เด็กชายผู้รอดชีวิตอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ชอบอยู่ในโลกส่วนตัวมากแค่ไหน นั่นทำให้พวกเขาเข้ามาทักแฮร์รี่บ้างเป็นครั้งคราว ทุกคนในหอเข้ามาทักทายบ้าง แต่ก็แค่นั้น มีคุยบ้างเล็กน้อยไม่มากไปกว่านั้น
เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าเด็กชายผู้รอดชีวิตต้องการเวลา
...แน่นอน แฮร์รี่คือคนที่สูญเสียมากกว่าใครในสงคราม
และการสูญเสียคนสำคัญติดต่อกัน เป็นใครก็คงต้องการเวลา...
พักหลังๆ ทุกคนจึงมักเห็นว่าบางครั้งแฮร์รี่ก็เดินไปหนมาไหนเพียงคนเดียว มีอาการเหม่อลอย แอบเข้าไปร้องไห้ที่ห้องน้ำชั้นสอง หรือหายตัวไปโดยที่ไม่มีใครหาเจอ (เพราะเจ้าตัวแอบเข้าไปในห้องแห่งความลับหรือเข้าห้องต้องประสงค์ไปอยู่คนเดียว) เวลาที่ต้องการความสงบและอยากอยู่กับตัวเอง
แน่นอนว่าศาสตราจารย์และเพื่อนๆ ของแฮร์รี่ล้วนเป็นห่วงและมักเข้ามาให้กำลังใจบ้างเป็นระยะๆ เมื่อเขาเริ่มมีใบหน้าที่เศร้าสร้อย ทุกคนรู้ว่าแฮร์รี่ต้องการที่พักพิง และต้องการใครสักคน...
ใครสักคนที่เติมเต็มส่วนที่ขาดหาย และมอบคำว่า ครอบครัว ให้เขาได้
แต่ช่วงหลังไม่นานมานี้ เหมือนพวกเขาจะเริ่มเห็นภาพที่เด็กสลิธีรินและกริฟฟินดอร์ชักชินตากึ่งรำคาญ (?) อย่างรวดเร็ว เมื่อพ่อคุณชายแห่งสลิธีรินผู้หยิ่งยโสเหมือนลดศักดิ์ศรี (?) เบาๆ ไปเดินเป็นเงาตามตัววีรบุรุษแห่งโลกเวทย์มนตร์
ยกตัวอย่างเช่นอาหารยามเที่ยงที่เพิ่งผ่านพ้นมา
เด็กสลิธีรินคิ้วกระตุกกันเป็นระยะๆ เมื่อพ่อคุณชายดันลดตัวเอง (?) ไปนั่งขลุกอยู่กับกริฟฟินดอร์ จุดประสงค์เพื่อใกล้ชิดกับคู่อริหน้าหวานที่ยังอยู่ในร่างสาว เรื่องขำขันที่ทำเอาเบลส ซาบินี่และแพนซี่ พาร์กินสันขำกรามแทบค้างกัน
ขณะที่เด็กกริฟฟินดอร์อ้าปากค้างกันเป็นแถบๆ กับการเปลี่ยนแปลงประหลาดๆ ของคุณชาย ซึ่งดูเหมือนว่าแฮร์รี่ของพวกเขา (?) จะไม่ปฏิเสธอะไรคุณชายแม้แต่น้อย ตักอะไรให้ก็ทาน มีปฏิเสธบ้างเมื่ออาหารเริ่มล้นจาน แต่ดูเหมือนจะทานได้มากกว่าก่อนหน้านี้เยอะ
ภายเวลาไม่ถึงสิบนาที ข่าวซุบซิบก็ดังไปทั่วห้องโถงเสียแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายแห่งสลิธีรินกับคู่อริหน้าหวานแห่งกริฟฟินดอร์ แถมยังแพร่สะพัดในหมู่อาจารย์ทั้งหลายแหล่ ที่เริ่มสังเกตทั้งคู่ในวิชาเรียนและดูเหมือนเหล่าคณาจารย์จะค่อนข้างพอใจกับความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นทันตาของทั้งคู่
“แฮร์รี่นายกับมัลฟอยเป็นอะไรกันน่ะ?”
และดูเหมือนเรื่องราวที่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเหล่านี้ จะสารถทำลายความสงบของเด็กหนุ่มหน้าหวานลงทันตาเห็น และดูเหมือนกริฟฟินดอร์จะเริ่มกลับมาคึกคักกันเหมือนเดิม แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากสงครามสิ้นสุด
คิ้วเรียวบางกระตุกเล็กน้อย “เป็นอะไรแบบไหนล่ะ”
คนถามยังคงจ้องตาแป๋ว เรียกให้คนถูกถามต้องทอดถอนใจ
มองฉันอย่างนั้นนายก็ไม่น่ารักขึ้นหรอกนะดีน อีกอย่างอย่าทำตาแบบนั้นจะดี เพราะนายกำลังทำให้ฉันอายุขัยสั้นลงไปอีกอย่างเห็นได้ชัด
แฮร์รี่คิด หลังจากทีต้องตอบคำถามเดิมซ้ำๆ กว่าร้อยรอบในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“เพื่อน” เสียงหวานตอบกึ่งไม่แน่ใจ “เอาเป็นว่าไม่ได้เกลียดกันแบบเมื่อก่อนนะ เป็นเพื่อนนั่นแหละ”
“จริงเหรอ” เสียงของปาราวตี พาติลดังขึ้น
“จริงสิ” เสียงหวานตอบกลับเนิบนาบ พยักหน้ายืนยันด้วยอีกเล็กน้อย
“เพื่อนแบบไหนล่ะเนี่ย” เซมัสบ่น ขณะขยับหมากรุก แข่งกับรอนเป็นตาที่เท่าไหร่ไม่ทราบ
“แบบพิเศษ” คนตอบเป็นเฮอร์ไมโอนี่ที่ละสายตาจากหนังสือเงยขึ้นมอง
แฮร์รี่ถลึงตาใส่เพื่อนสาว
“เอาจริงๆ นะ” แม่เด็กฉลาดประหนึ่งห้องสมุดเคลื่อนที่แห่งกริฟฟินดอร์เอ่ยเสียงเนิบนาบ “ฉันว่าเดรโก มัลฟอยตกหลุมรักวีรบุรุษของพวกเราเข้าให้แล้วล่ะ”
“ไม่มีทาง” เป็นเสียงจากรอนและแฮร์รี่ สองเพื่อนซี้ที่บังเอิญความเห็นตรงกันจากคนละสาเหตุ
สาเหตุของรอน ก็แค่เขาไม่ชอบหน้ามัลฟอย
ส่วนของแฮร์รี่... ทราบได้ทันทีจากใบหน้าหวานที่ขึ้นสีจางๆ
“ไม่มีทางงั้นหรือ แฮร์รี่” เฮอร์ไมโอนี่ส่งยิ้มมาให้ นัยน์ตาสีมรกตคู่งามเบนหลบ
“เฮ้ เฮ้ พวกเขาเป็นคู่อริกันมาตลอด 7 ปีเลยนะ” เซมัสกล่าว ถึงแม้จะแอบเห็นด้วยกับแม่คนฉลาดไม่ได้
“ฉันว่านะ” ปาราวตีเอ่ยขึ้นเสียงครุ่นคิด “ถ้าแฮร์รี่ไม่ปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนกับเดรโก มัลฟอย บางทีพ่อคุณชายนั่นอาจจีบแฮร์รี่ตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วก็ได้” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็วาดฝัน (?)
“จะบ้าเรอะ” เสียงอุทานจากเนวิลล์ เซมัส ดีนและรอนดังขึ้นก่อนหัวเราะ
แฮร์รี่ส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่เห็นสำคัญตรงไหนเลย พวกเธอจะพูดเรื่องนี้กันเพื่ออะไรน่ะ หือม์?”
กล่าวขณะมือบางพลิกอัลบั้มรูปดูเชื่องช้าราวซึมซับภาพเหล่านั้น และเริ่มจมเข้าภวังค์ สัก 5 – 10 นาทีได้ที่รู้สึกตัวว่าตัวเองเป็นเป้าสายตาของเพื่อนๆ หอกริฟฟินดอร์ และห้องนั่งเล่นรวมเริ่มเงียบลง สายตาทุกคู่จับจ้องมองเขานิ่ง คิ้วบางเลิกขึ้นแปลกใจ
“อะไรหรือ?”
“ฉันว่ามันค่อนข้างสำคัญนะแฮร์รี่ – ไม่สิ – สำคัญมากๆ เลยต่างหาก” เฮอร์ไมโอนี่เอ่ยเชื่องช้า “เธอรู้ไหมว่าเธอดูเปลี่ยนไปหลังจากจบสงคราม เธอดูนิ่งเงียบ และเมินเฉย – โอ้ ไม่ใช่สิ – ต้องบอกว่าเธอราวกับตุ๊กตา ไร้ชีวิต ไร้ความสุข เธอมักเหม่อลอย ราวกับว่าเธออยากที่จะ...—”
เพื่อนสาวเงียบเสียงลง
“แต่แฮร์รี่” เสียงรอนเอ่ยขึ้น เขาขมวดคิ้ว “ถึงฉันจะไม่ชอบไอ้หัวลีบนั่น แต่บอกตามตรง – โธ่ เพื่อน – นายอยู่กับเขาแล้วเราเห็น – ดวงตาของนาย มันเปล่งประกายแห่งความสุขจางๆ ออกมา”
“และนั่นเป็นสาเหตุที่รอนไม่ค่อยหาเรื่องมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่กล่าวต่อจากแฟนหนุ่ม
แฮร์รี่มุ่นคิ้วเล็กน้อย
“แฮร์รี่ เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนทำให้เราเห็น – รู้ – เข้าใจ” จินนี่หันมามอง “เธอดูผ่อนคลาย รอยยิ้มของเธอมาจากเบื้องลึก มันเป็นภาพที่เมื่อพวกเราเห็นแล้ว – มันตรึงตรา”
“ฉันคิดว่า – เราทุกคนคิดว่านะ” ดีนกล่าวเนิบนาบ “นายดูมีความสุขดี เมื่ออยู่... กับมัลฟอย”
แฮร์รี่มองเพื่อนๆ “ไม่ – ไม่หรอก... ไม่รู้สิ”
“เฮ้ แฮร์รี่...” เนวิลล์เอ่ยขึ้นบ้าง “ฉันว่าเขาชอบนาย... จริงๆ นะ”
แฮร์รีมองเนวิลล์อย่างไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่
“นายก็เห็นว่าเขา ค่อนข้างเอาใจ – อืม ก็ใช่ – มันไม่แปลกนักถ้านาย เอ่อ อาจจะคิดบ้างว่า เขาหาเรื่องแกล้งนาย” เนวิลล์เอ่ยไม่มั่นใจ “แต่แฮร์รี่...” เขากล่าวเสียงอ่อนลง
“ดวงตาคือม่านของหัวใจ” เนวิลล์สบตากับแฮร์รี่นิ่ง “นายไม่เห็นเหรอ มัลฟอยเขาก็ดูมีความสุข และ เราก็เห็นว่านายมีความสุข บางที... อาจเพราะการสูญเสีย ทำให้นายหวาดกลัว มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก อืม... ฉะ ฉันแค่คิดว่า... บางที นายแค่... ไม่คิดถึงเรื่องพวกนั้น – ไม่สิ มันไม่ง่าย – แค่ เอ่อ แค่นายเปิดใจ? อืม รับเขาดู” เนวิลล์เริ่มพูดไม่มั่นใจในช่วงท้ายๆ
แฮร์รี่ยิ้มจางและบางเบา “ขอบคุณเพื่อน ขอบคุณพวกเธอ... ทุกคน”
“แต่พวกเธอก็รู้... ฉันรู้และมั่นใจว่าพวกเธอรู้” นัยน์ตาคู่สวยหลุบลง “ฉันไม่พร้อม”
ก่อนเด็กหนุ่มจะพาตัวเองออกจากหอกริฟฟินดอร์ โดยมีสายตาเป็นห่วงของเพื่อนๆ มองไปจนรูปภาพเหวี่ยงปิดลง
ร่างสูงสง่าของคุณชายแห่งบ้านสลิธีรินเดินออกจากห้องเรียนวิชาสุดท้ายสำหรับวันนี้ ต่อจากนี้ก็ว่างแล้ว แต่ก็นะ ไม่รู้จะทำอะไรอยู่ดี
เดรโกเดินเหม่อลอย มองออกไปด้านนอกของทางเดิน แทบหรือไม่รับรู้การมีตัวตนอยู่ของสองเพื่อนสนิทและลูกน้อง? อีกหนึ่งคน ขายาวเอาแต่สาวไปเรื่อยๆ ไม่มองทาง (นั่นทำให้คนอื่นต้องหลบทางให้) ไม่สนใจใครๆ เรียกเสียงถอนหายใจจากเพื่อนสนิท ขณะที่อีกคนยืนเดินตามติดเงียบๆ (ตามประสาพวกซื่อบื้อและไม่รู้อะไร)
“ข่าวแพร่สะพัด” เบลสกระซิบกับแพนซี่ “ตอนทานอาหารเที่ยงมันดันเปิดตัวซะ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีกฝ่ายเล้ย”
“จริง” แพนซี่พยักหน้า เธอเห็นมีพวกผู้ชายหลายคนและผู้หญิงบางส่วนมองแฮร์รี่ พอตเตอร์อย่างเสียดาย “และฉันคิดว่าเดรโกคงจะรุกแค่นี้ด้วย คงไม่กล้ารุกมากกว่านี้หรอก”
“แหงล่ะ” เบลสเห็นด้วย “มองก็รู้ว่าอีกฝ่ายดูไม่พร้อม อีกอย่างนะ สูญเสียตั้งแยะ”
“แต่” แพนซี่ขัด “ฉันว่าเพื่อนเรามีความหวัง... สูงเสียด้วย”
“มาก” เบลสว่าตาม “ตอนเดรโกมันไปนั่งด้วยแล้วเอาอกเอาใจ ขอบอกว่านอกจากจะไม่มีใครได้เห็นเดรโกทำอะไรแปลกๆ พิลึกพิลั่นแบบนั้นแล้ว ยังได้เห็นความสุขที่ฉายบนใบหน้าหวานๆ นั่นอีก”
“นั่น” แพนซี่หรี่ตามองเบลส “บรรยายซะแหม... ตกหลุมเสน่ห์พ่อวีรบุรุษหน้าหวานด้วยอีกคนหรือไงห๊ะ? อย่าทำตัวเป็นเพื่อนทรยศเชียว”
“เฮ้ยๆ เปล่า ไม่ได้ทรยศ” เสียงเหมือนจะสูงเล็กน้อย “โอ๊ย ก็อีกฝ่ายตัวเล็กๆ บอบบาง น่ารักกว่าผู้หญิงบางคน มันก็ต้องมีแอบมองบ้างล่ะน่า”
“อย่ามาทำเคลิ้ม” จัดการหยิกเพื่อนที่เริ่มทำตัวคิดไม่ซื่อขึ้นมาทุกทีๆ “ขอเตือนว่าอย่าทำตัวสนใจแฮร์รี่ พอตเตอร์ออกนอกหน้า”
คำพูดของเพื่อนสาวดูเหมือนจะดึงพ่อคุณชายที่จมในภวังค์กลับมามีสติอีกครั้ง
นัยน์ตาคู่คมหรี่ลงตวัดฉับมองเพื่อนด้านหลังทันที
“ไม่มีอะไรเว้ย เดรโก” เบลสรีบออกตัวเมื่อสบกับนัยน์ตามุ่งร้าย เตรียมกินเลือดกินเนื้อของเพื่อนสนิท ที่ชักจะไม่สนิทเข้าทุกทีๆ ถ้ามันยังทำตาแบบนั้นใส่อยู่อย่างนี้ แพนซี่แทบหัวเราะก๊ากมองสองเพื่อนสนิทที่เริ่มมีความสนิทต่ำลงๆ
คำปฏิเสธของเพื่อนยังไม่ทำให้เชื่อในทันที นัยน์ตาสีฟ้าซีดมองพินิจ ก่อนหันหน้าเบนกลับไปมองฟ้าแบบเมื่อครู่ต่อ ขณะที่เบลสหันไปถลึงตาใส่เพื่อนสาวที่โยนระเบิดมาใส่เขา และมันก็เกือบจะระเบิดเข้าให้จริงๆ อย่างน่าหวาดเสียว
ตุบ!
เสียงที่เรียกความสนใจจากเพื่อนตัวดีที่เดินตามหลังคุณชายสลิธีรินให้ชะงัก และหันกลับไปมองด้านหน้ากันอย่างสงสัย ก่อนพบว่าพ่อคุณชายเดินไปชนกับเด็กหนุ่มร่างเล็กบางเข้าให้ และดูเหมือนแรงปะทะจะทำให้อีกฝ่ายเกือบล้ม โชคดีที่พ่อคุณชายเหมือนจะคืนสติประคองอีกฝ่ายไว้ได้ทัน
เจ้าของเรือนผมสีดำดูยุ่งเหยิง นัยน์ตาสีมรกตเงยหน้าขึ้นสบตาคนประคองหมายจะเอ่ยขอโทษและขอบคุณ ก่อนจะตกตะลึงเมื่อรู้ว่าคนที่ชนกันเมื่อครู่เป็นใคร และเขาอยู่ในอ้อมแขนของใคร
กลิ่นแปลกๆ เริ่มลอยมาแตะจมูกให้เบลสและแพนซี่คิ้วกระตุก
ก่อนทั้งคู่ตกลงปลงใจย่องเดินหนีเดรโกอย่างพร้อมเพรียงหมายให้เพื่อนรักจัดการกับคนในอ้อมแขนเอาเองอย่างไม่คิดเป็น ก – ข – ค. แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะลากไอ้อ้วนที่ยืนบื้ออยู่ไปด้วย พร้อมแอบไล่พวกนักเรียนที่อยู่บริเวณนั้นให้อย่างหวังดี
เดรโกรู้สึกไม่อยากขยับตัว หรือปล่อยอีกฝ่ายไป แขนของเขาข้างหนึ่งโอบรอบเอวบอบบางเอาไว้เพื่อรั้งไม่ให้อีกฝ่ายล้มลงไป นัยน์ตาคู่คมสีฟ้าซีดสบกับนัยน์ตาคู่งามสีมรกตอย่างไม่อาจละสายตา แขนเรียวบางข้างหนึ่งโอบคอของเขาไว้ ขณะที่มืออีกข้างวางยึดบนไหล่เขาเพื่อพยุงตัว
ใบหน้าของทั้งคู่ร้อนผะผ่าว ก่อนนัยน์ตาคูงามจะเบนหลบไปก่อน
“ด- เดร- เดรโก...” เสียงหวานกระซิบแผ่วเพื่อปลุกสติอีกฝ่าย
แขนเรียวค่อยๆ คลายออกจากลำคอคนตรงหน้าเปลี่ยนมาวางมือลงบนไหล่แกร่งแทน ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าผลักออกไป มันดูเป็นการเสียมารยาทกรายๆ แม้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เสียที แฮร์รี่เริ่มทำตัวไม่ถูก
“เดรโก... ปล่อยเถอะ” นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาประปรายเล็กน้อย
แทนที่จะเขินอายจากสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาบ้างเวลาผ่านมาเห็น กลับเคอะเขินเอียงอายสายตาของคนตรงหน้าเสียมากกว่า แฮร์รี่เริ่มออกแรงดันอีกฝ่ายเบาๆ ให้ปล่อย หากแต่แขนแกร่งกลับโอบกระชับเล็กน้อยเป็นคำตอบเสียอย่างนั้น
“นาย... จ- จะบ้าเหรอ ฉันทรงตัวได้แล้ว... ปล่อยเถอะน่า” เสียงหวานประท้วงแผ่วใบหน้าแดงซ่าน “ขอโทษแล้วกันที่... ไม่ทันมองทาง... ขอบคุณที่ช่วย แต่ปล่อยได้แล้ว”
“เหม่ออะไรล่ะ? ถึงไม่ทันมองทาง” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถามผะแผ่ว อ้อมแขนคลายลงเล็กน้อย
“คิดเรื่อยเปื่อย” ออกแรงดันไหล่อีกฝ่ายเล็กน้อย พอให้ผละออกมาได้บ้าง
“คิดถึงอะไรอยู่เหรอ?” นัยน์ตาสีฟ้าซีดจับจ้องมอง
มือแกร่งเชยคางมนอีกฝ่ายให้เงยขึ้นสบตา และดูเหมือนว่าพ่อคุณชายจะไม่อายสายตาชาวบ้านที่เริ่มคิดไปไกลกับการกระทำแบบนี้สักเท่าไหร่ ขณะที่เด็กหนุ่มร่างบางหน้าแดงฉ่าไปเสียแล้ว ยิ่งเมื่อสบประสานนัยน์ตาคมตรงหน้ายิ่งรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนมากเหลือเกิน
“ก็- เรื่องเดิมๆ... เกี่ยวกับ... พวกเขา” ตอบตะกุกตะกักไม่เต็มเสียง
นัยน์ตาสีฟ้าซีดหรี่ลงเล็กน้อย มองจ้องเข้าไปในดวงตาคู่งามราวกับจะหาตอบเพื่อยืนยัน นัยน์ตามรกตสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนเสมองไปทางอื่นในที่สุด
เดรโกปล่อยมือที่เชยคางอีกฝ่ายลง นั่นทำให้ใบหน้าหวานก้มงุดทันที (การกระทำเหล่านี้สร้างความเสียดายและโล่งอกให้กับหลายๆ คนที่สัญจรไปมายิ่ง) ริมฝีปากเรียวได้รูปยักยิ้มเล็กน้อย นัยน์ตาพราวระยับวูบหนึ่ง
“เดินเล่นกันไหม?” โน้มหน้าลงไปกระซิบข้างหู เอ่ยชวน
แฮร์รี่แทบหยุดหายใจกับการกระทำอีกฝ่าย “ก็... คงได้”
ร่างสองร่างเดินเลียบริมทะเลสาบ ภาพหาดูได้ยากของสองคู่อริแห่งฮอกวอตส์
ทั้งคู่ทอดน่องเงียบๆ ไม่มีใครกล่าวอะไร เมื่อต่างคนต่างตกออยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง คิดถึงหลายๆ สิ่งที่ผ่านมาตลอด 7 ปี ดูเหมือนเสียงคลื่นทะเลและสายลมจะทำให้จิตใจสงบได้มากพอสมควร นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด
แฮร์รี่เดินก้มหน้า มือทั้งสองไขว้หลัง ขณะสองเท้าเดินเหมือนจะเขี่ยทรายตรงหน้า กำลังคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่ผ่านพ้นมา ตลอด 7 ปีที่ต้องเผชิญกับการผจญภัยต่างๆ และเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งสุขและทุกข์มากมาย
แรกเริ่มเมื่อเข้า เมื่อก้าวผ่านประตูกล ปกป้องศิลาอาถรรพ์ ต่อกรกับบาซิลิกส์ เผชิญหน้ากับแวร์วูล์ฟ ช่วยเหลือพ่อทูนหัว แข่งขันประลองเวทไตรภาคี การจากไปของเซดริก ดิกกอรี่ เหล่าภาคีนกฟินิกส์ ร่างของพ่อทูนหัวที่ตกผ่านม่าน บันทึกของเจ้าชายเลือดผสม การจากไปของศาสตราจารย์ใหญ่อัลบัส ดัมเบิลดอร์ เครื่องรางยมทูตทั้งสาม วินาทีสุดท้ายของชายที่เขาเกลียดเซเวอรัส สเนป และสงครามสุดท้าย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีบทเรียนมากมายเกิดขึ้นในชีวิตของเขา ทำให้เขาได้เรียนรู้มากมาย เช่นกัน ที่สงครามทำให้เขารู้ว่า ไม่มีใครทอดทิ้งเขา ทุกคนต่างรักเขาจากใจจริง และอีกเช่นกันที่สงครามมักพรากคนสำคัญให้ห่างหายลาจากเสมอ
รู้ ว่าเขาไม่เคยอยู่คนเดียว ตลอดเวลา ทุกคนอยู่เคียงเขาเสมอ เผชิญ ฝ่าฟันร่วมเดินด้วยกันมาตลอด แต่ก็อีก การสูญเสียคนที่รัก ไว้ใจและเชื่อใจติดต่อกันมันก็ทำใจยอมรับได้ยาก จนรู้สึกเหมือนเดินหลงทางอยู่ในความมืดมิด ที่น่ากลัว ยิ่งกว่าเขาวงกต
นัยน์ตาสีมรกตคู่สวยหลุบลง ช่วงเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สงครามที่ผ่านมาพรากทุกความสุข แลกแทบทุกชีวิต และถึงแม้สงครามจะจบลงไปแล้ว แต่แฮร์รี่ก็ยังคงหวาดกลัว กลัวในอนาคต และเวลาที่หมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เดรโกเงยหน้ามองฟ้า นัยน์ตาคู่คมแอบเหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อย เขาคิดถึงช่วงเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และหลายๆ อย่างที่ผ่านพ้น คนที่สูญเสียยิ่งใหญ่กว่าใครๆ คือคนๆ นี้ที่อยู่ใกล้ๆ กับเขา เขาเคยอิจฉา อิจฉาชื่อเสียงเหล่านั้น และเจ็บปวด เมื่อรู้ว่าคนข้างกายต้องสูญเสียอะไรบ้าง
ชื่อเสียงใดๆ ไม่สำคัญอีกต่อไป...
เดรโกขยับมือของตัวเองเล็กน้อยอย่างลังเล เขาขยับมือหมายจะจับมือเล็กนั่น กำมือเล็กน้อยแสดงความไม่มั่นใจ ก่อนตัดสินใจสลัดความลังเลและไม่มั่นใจนั่นทิ้งซะ พร้อมดึงมือเล็กบางน่าทะนุถนอมของแฮร์รี่มาจับเอาไว้ นัยน์ตาสีฟ้าซีดเสมองทางอื่นเมื่อใบหน้าหวานหันมามองด้วยความประหลาดใจ

นัยน์ตากลมโตจับจ้องมองร่างสูงข้างกาย มือแกร่งของอีกฝ่ายช่วยดึงเขาออกจากภวังค์ และยังทำให้เขาลืมเรื่องทั้งหมดที่ตนเพิ่งจะระลึกถึงไปจนสิ้น หัวใจของแฮร์รี่เต้นรัว ความอบอุ่นจากมือของเดรโกแล่นผ่านเข้ามา ชวนให้รู้สึกอุ่นกายสบายใจอย่างน่าประหลาด
ทั้งคู่เดินเคียงกันเงียบๆ อย่างไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยสิ่งใดให้ขัดความคิดห้วงคำนึงของอีกฝ่าย
“เรียนจบแล้วนายจะทำงานอะไรน่ะ?”
จู่ๆ เสียงทุ้มก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา แฮร์รี่เอียงศีรษะเล็กน้อย
“อาจจะเป็นมือปราบมาร...”
เดรโกมุ่นคิ้วทันที “มือปราบมารหรือ? มันไม่อันตรายไปหรือ?”
คำถามที่เรียกให้คิ้วโก่งได้รูปเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ
“ฉันคิดว่างานนั้นเหมาะกับฉันดีออก” แฮร์รี่เอ่ยเนิบนาบ “และฉันก็ชื่นชอบเสียด้วย”
เดรโกทำท่าจะอ้าปากเอ่ยค้าน แต่แฮร์รี่ก็ชิงถามก่อน “แล้วนายล่ะ?”
“เอ้อ” เดรโกเบ้หน้าเล็กน้อย “ฉันเหรอ...? ก็กิจการครอบครัวกับงานในตระกูลที่ต้องทำต่อจากพ่อ ประมาณนั้นล่ะมั้ง...” เอ่ยอย่างไม่มั่นใจเล็กน้อยแล้วถอนหายใจพรืด
“งั้นเหรอ?... แล้วไม่มีอะไรที่นายอยากทำบ้างเลยหรือ?” แฮร์รี่ซักต่อ
เดรโกนิ่งไปชั่วอึดใจ “ก็... ไม่นะ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” เอ่ยตอบแผ่วเบา “แต่ฉันอยากมี...” ก่อนเอ่ยงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ แฮร์รี่เลิกคิ้วสงสัย
“นายพูดว่าอะไรนะ?”
“อ- เอ้อ เปล่านี่”
แฮร์รี่ทำหน้าไม่เชื่อสุดๆ ขณะที่เดรโกยิ้มแห้งเล็กน้อย เขาดันเผยพิรุธออกไปเสียขนาดนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ใครจะบอกออกไปตรงๆ ได้ว่าเขาอยากมีครอบครัว – คนรักน่ะ ฟังเหมือนจะดูดี ใช่ ถ้าไม่ติดว่า คนที่เขาปรารถนาที่จะอยู่เคียงข้างกันคือคนข้างๆ นี่ล่ะก็นะ...
“เอาเถอะ ไม่อยากบอกก็ไม่เซ้าซี้” แฮร์รี่ถอนหายใจเล็กน้อย “อืม... ใกล้อาหารเย็นแล้ว บางทีเราควรกลับหอนอนของตัวเองกันสักที”
เดรโกมุ่นคิ้วเล็กน้อย แล้วเบนสายตาไปมองสุดปลายฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี “ก็จริง” เขางึมงำตอบ
“แต่... เดินเล่นอีกสักหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
“แต่ฉันอยากกลับเข้าไปมากกว่า”
เดรโกถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะพาอีกฝ่ายเดินกลับเข้าไปในฮอกวอตส์ โดยที่เสียงหวานของแฮร์รี่จะท้วงมาตลอดทางว่าให้ปล่อยมือสักที แต่แน่นอนว่าโอกาสหายากพอสมควรแบบนี้ เดรโกคงไม่ปล่อยให้หลุดมือไปแน่ ต้องจับมันไว้มั่นๆ
“เห็นแล้วอิจฉามาก ถ้าพวกนายได้เห็นภาพนั้น คนที่ผ่านไปมามองกันตาเป็นมันปนเสียดาย กึ่งอิจฉา” ใครบางคนลากเสียงยาวๆ ชวนหมั่นไส้
“บ้าเหรอ เฮ้ย พวกนายไม่ได้อำเล่นแน่นะเว้ย” อีกเสียงดังท้วงอย่างอดไม่ได้
“เออดิ! เราเดินมาด้วยกันสี่คนนะเว้ย เจอเต็มๆ แบบจะๆ!”
“แล้วทำไมไม่ตามไปดูต่อล่ะ?” คนท้วงเอ่ยถามขึ้นบ้าง
“โอ๊ย นายเอาอะไรคิดน่ะฟินนิกัน ขืนไอ้บ้านั่นมันจำได้ว่าเราตามไปนะ หูยย เอาตายแน่”
“ใช่ๆ” เสียงหวานแหลมของหญิงสาวอีกคนดังขึ้นเสริม “ถ้านายอยากรู้ตอนต่อไป ทำไมไม่ตามไปดูเองเลยล่ะฟินนิกัน”
“พวกนายจะบ้า?!” เจ้าของนามแว้ดใส่เสียงเบา “ฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นะเว้ย”
“หมายความว่าถ้าอยู่ในเหตุการณ์ก็ตามไปใช่ป่ะ?” เพื่อนตัวดีที่นั่งข้างๆ อดไม่ได้ที่จะแซวเล็กน้อย
“เงียบไปเลยดีน”
“แล้วนี่มานินทาเขาลับหลังไม่กลัวบ้างหรือไง” คราวนี้เป็นเสียงหวานของหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่
“หมอนั่นมันคงไม่มาห้องสมุดหรอก เกรนเจอร์” เสียงยานคางเบื่อๆ เอ่ยตอบ เมื่อหันไปเห็นเจ้าของคำถามยังใช้สายตาอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้นแต่ปากกลับเอ่ยคำถามอกมาอย่างอดไม่ได้เสียอย่างนั้น แน่นอนว่าเขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเจ้าวีเซิลแฟนหนุ่มเจ้าหล่อนแล้วล่ะ
“เฮิร์ม... เธอไม่ต้องอ่านหนังสือตลอดก็ได้นะ...” หนุ่มผมแดงเริ่มโอดครวญเสียงแผ่ว
“ถามหน่อยดิ พวกนายว่าเขาจะหวั่นไหวกับหมอนั่นแล้วหรือยัง?”
“เราไม่ใช่เขานะซาบินี่ จะไปรู้ได้ไง” หนุ่มผมสีทรายเอ่ยเนือยๆ
“โอ๊ย” เสียงหวานของหญิงสาวที่นั่งอ่านหนังสือดังขึ้น เจ้าหล่อนวางหนังสือลงอย่างอดไม่ได้ “เมื่อไหร่พวกนายจะเลิกนินทาพวกเขาสักที หา? แล้วนี่มาทำอะไรกันในห้องสมุดห๊ะ? ขัดหูขัดตาจริงๆ ไปเลย ไปๆ จะไปนินทากันที่ไหนก็ไป ชิ่วๆ!”
หล่อนจัดการสะบัดมือไล่พวกเขาเสียงเบา หญิงสาวอีกคนที่นั่งไม่ใกล้ไม่ไกลถึงกับหัวเราะออกมาแผ่วๆ อย่างอดไม่ได้ พลางส่งสายตาชวนโมโหให้เพื่อนหนุ่มผิวเข้มที่อยู่บ้านเดียวกัน ให้คนมองรู้สึกหมั่นไส้ตงิดๆ แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยปากบ่นนั้น
“นิน – ทา – อะ – ไร”
เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นจากด้านหลัง เล่นเอาพ่อหนุ่มผิวเข้มสะดุ้งสุดตัว สองสาวในกลุ่มมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วหันมามองเจ้าของเสียงตาปริบๆ ส่วนสองหนุ่มต่างบ้านที่นั่งฟังกึ่งร่วมนินทาเมื่อครู่เปลี่ยนสีหน้าไม่ถูกทันที ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ขณะที่หนุ่มผมแดงที่อยู่ข้างแฟนสาว ดูจะไม่สนใจผู้มาเยือนเท่าไหร่
“แฮร์รี่ล่ะ?”
รอนเอ่ยถามเดรโกอย่างไม่สะทกสะท้านกับไอเย็นที่แผ่ออกมาของอีกฝ่าย แน่ล่ะ เขาไม่ได้ร่วมวงนินทาอีกฝ่าย (เพราะมัวแต่ครวญครางกับแฟนสาวที่ทำไม่สนใจเขา) ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องกลัว จึงถามหาเพื่อนรักพลางชะเง้อมอง
“อ้อ” เดรโกส่งเสียงเย็นๆ “เดินไปดูหนังสืออีกมุมหนึ่งกับลองบัตท่อม”
“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” เสียงหวานของคนที่ถูกถามถึงดังขึ้นจากด้านหลังของเดรโก ก่อนที่แฮร์รี่จะเดินมาให้เห็นพร้อมเนวิลล์ ใบหน้าหวานยังคงดูนิ่งสงบ ประกายตาฉายแววหม่น แต่มีคลื่นความประหลาดใจแทรกเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กสลิธีรินสองคนกับเพื่อนกริฟฟินดอร์อีกสี่นั่งโต๊ะเดียวกัน
“กำลังนินทาใครสักคนเมามันส์” เดรโกเอ่ยเสียงราบเรียบ “และคนถูกนินทาก็กำลังจะเก็บคนนินทามันเสียเดี๋ยวนี้”
เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกมาจากพ่อหนุ่มผิวเข้มบ้านสลิธีริน
“โอ้?” แฮร์รี่เลิกคิ้วเล็กน้อย “นายมีอะไรให้พวกเขานินทาหรือ?”
“พวกมันหาได้หมดแหละถ้าอยากนินทากันเสียอย่าง” นัยน์ตาสีซีดมองเพื่อนของตนอย่างเอาเรื่อง
เบลสยิ้มแหย่ “ฉัน— นึกขึ้นได้— ว่าติดธุระ— ขอ—”
“อย่าคิดหนีไอ้เบลส” เดรโกเอ่ยขัดเสียงเย็น
แต่ก็ไม่ทันเบลสอยู่ดี เมื่อเรด้าส่งเสียงเตือนถึงอันตรายที่กำลังมาเยือน พ่อหนุ่มผิวเข้มสาวเท้าวิ่งทันทีที่เดรโกล่าวจบประโยค เดรโกกรอกตาก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเร็วๆ ตามเพื่อนตัวดีไปทันที แพนซี่หัวเราะร่าอย่างสนุกสนานเมื่อเห็นสีหน้าเบลส (แน่นอนว่าหล่อนหัวเราะไม่ดังมานักหรอก)
“หวังว่ามาดามพินซ์คงไม่เตะโด่งพวกเขาออกจากห้องสมุดเสียก่อน”
คำพูดของแฮร์รี่เรียกเสียงหัวเราะแผ่วๆ จากเพื่อนๆ ของเขาได้อย่างดีทีเดียว
กลางดึกที่เงียบสงัด ทั่วทั้งโรงเรียนฮอกวอตส์ต่างเงียบสงบ มีเพียงเสียงของสายลมจากด้านนอกพัดพลิ้วผ่านชวนหวิวใจ มันเงียบจนวังเวงแลหดหู่ เมฆาสีทมิฬเพราะราตรีค่อยๆ เคลื่อนกายขยับอย่างเอื่อยเฉื่อย ส่งแสงสีเหลืองนวลให้สาดกระทบแผ่วเบาลงบนสิ่งต่างๆ ภายใต้
นัยน์ตาสีเขียวลืมขึ้นมองเพดานแน่นิ่ง มือกำผ้าห่มไว้แน่น หยาดเหงื่อผุดทั่วใบหน้าหวาน กับฝันร้ายที่หลอกหลอน ภาพสงครามและความตายของคนที่รักอย่างตราตรึงอยู่ในความทรงจำ มือบางยกขึ้นสัมผัสจี้รูปพระจันทร์เต็มดวงอย่างแผ่วเบา
ใบหน้าของใครบางคนเด่นชัดในห้วงคำนึง สลายสิ้นทุกความหวาดกลัวไปจนหมด มีเพียงความรู้สึกอบอุ่นแล่นผ่านวูบวาบ ให้หัวใจดวงน้อยๆ เต้นระรัว จนเจ้าตัวต้องพลิกหน้าซุกกับหมอนอย่างอดไม่ได้ เมื่อภาพของใครคนนั้นดูจะไม่เลือนลบออกไปง่ายๆ
แฮร์รี่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย เขาฝันเห็นภาพของเซดริก... ซีเรียส... รีมัส... ดัมเบิลดอร์และสเนป เป็นภาพในช่วงที่พวกเขามีชีวิตอยู่ และได้พูดคุยกับแฮร์รี่ เสียงถอนหายใจพรืดดังขึ้นแผ่วเบา ดูเหมือนเสียงกรนของเพื่อนร่วมห้องจะไม่สามารถทำให้เขาสนใจหรือรำคาญได้เลย
แต่ภาพของคนที่มันดันผุดเข้ามากลับดึงความสนใจทั้งหมดของเขาไป
รู้สึกรำคาญยังไงก็ไม่รู้แหะ... แต่ก็ไม่รังเกียจที่จะได้เห็น...
แฮร์รี่สั่นศีรษะแรงๆ เล็กน้อยอย่างไม่อยากจะนึกถึงอะไรต่อ ใบหน้าหวานแดงวูบวาบอย่างห้ามไม่อยู่ ใจเต้นแรงและรัวมากขึ้นราวกับกำลังรัวกลอง แฮร์รี่ซุกหน้ากับหมอนแน่นโดยไม่สนว่าตัวเองจะขาดอากาศหายใจหรือไม่ รับรู้เพียงสิ่งเดียวคือการพยายามข่มตาให้หลับเสียที
“ไม่เห็นเข้าใจเลย”
“...”
“มันอะไรกันนะ...”
“...”
“ความรู้สึกนี้ เฮ้อ”
“แฮร์รี่... นายโอเคนะ?”
รอนอดถามขึ้นมาไม่ได้หลังจากที่นั่งกระพริบตาปริบๆ มองเพื่อนรักบ่นงึมงำพึมพำกับตัวเองอยู่คนเดียว แฮร์รี่สะดุ้งเล็กน้อย หันมามองรอนแล้วส่ายหน้าแทนการตอบ ก่อนทอดถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างอดไม่ได้
แน่นอนว่าพ่อหนุ่มผมแดงดูจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ หลังจากสังเกตอาการของเพื่อนได้สักพัก แฮร์รี่ดูมีเรื่องลำบากใจและดูสับสน ใบหน้าหวานของเพื่อนรักก้มมองหนังสือก็จริง แต่สายตากลับดูเหม่อลอย มือบางยังคงจับหนังสือค้างไว้เล็กน้อย
“นายแน่ใจนะ” อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาอีก
ตอนนี้พวกเขาว่าง เลยถูกเฮอร์ไมโอนี่ลากมาห้องสมุดเพื่อทำรายงานวิชาปรุงยา งานมันไม่หนักมากเท่าสมัยของสเนปหรอก แต่ดูจากรูปการแล้วแฮร์รี่คงอยากได้งานแบบที่สเนปเคยให้มากกว่า อืม บางทีอาจกำลังคิดเรื่องสเนปอยู่ก็ได้เลยเป็นอย่างนี้
“อื้อ...”
เสียงหวานขานตอบยืนยันทั้งที่ยังดูเหม่อลอย รอนถอนหายใจเฮือก สงสัยจะคิดเรื่องสเนปแน่ๆ เลย
“...เอ่อ...” เสียงหนึ่งทักพวกเขา รอนหันไปมองขณะที่แฮร์รี่ยังดูเหม่อๆ “พอตเตอร์เป็นอะไรไปน่ะ?”
เบลสลดเสียงให้เป็นเสียงกระซิบถามรอน รอนส่ายหน้าไปมาแล้วยักไหล่เชิงบอกว่าไม่รู้
“ฉันถาม เขาก็เหม่อ พอถามว่าเป็นอะไรไหม ก็บอกว่าไม่... สงสัยเพราะมาทำรายงานวิชาปรุงยาเลยนึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาล่ะมั้ง?” รอนตอบสันนิษฐาน
เบลสเลิกคิ้วแล้วมองแฮร์รี่ ก่อนหรี่ตาเล็กน้อยแล้วเหลือบไปมองเพื่อนรักที่กำลังเดินมาทางนี้
ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มลงบนในหน้าคมคายของหนุ่มผิวเข้ม “เฮ้ เราขอนั่งด้วยได้ไหม”
“โอ้ ตามสบายเลย” รอนตอบพยักหน้าให้ ในตอนนี้เขาไม่รังเกียจพวกสลิธีรินมากเท่าไหร่แล้วสงครามทำให้เขาได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง และบางที เขาก็คิดว่าพวกสลิธีรินน่าสงสาร เรื่องของสเนปทำให้เขาสลิธีรินอีกแง่หนึ่งเล็กน้อย
“ขอบใจ” เบลสยิ้ม “แล้วใครนั่งกับพวกนายบ้างน่ะ?”
“มีเฮิร์มกับเนวิลล์และลูน่า” รอนตอบเลิกคิ้วเล็กน้อย
“อ้อ” เบลสยิ้มพยักหน้ารับ “แพนซี่ เดรโก มานั่งโต๊ะนี้กัน”
เบลสหันไปตะโกนเรียกเพื่อนเสียงเบา แพนซี่ชะโงกหน้ามาจากล็อกหนังสือแถวหนึ่งแล้วพยักหน้ารับ ส่วนเดรโกที่กำลังหยิบหนังสือหันมามองเบลสแล้วพยักหน้าหน่อยๆ อย่างไม่คิดอะไร แล้วดูท่าจะไม่ทันสังเกตด้วยว่าโต๊ะที่ว่ามีใครอยู่
เบลสกระตุกยิ้ม ลอบมองปฏิกิริยาแฮร์รี่ที่สะดุ้งเล็กน้อยตอนได้ยินชื่อเพื่อนของเขา
“บางทีพอตเตอร์อาจไม่ได้คิดเรื่องศาสตราจารย์สเนปก็ได้” เบลสกระซิบบอกรอน เขาเลื่อนเก้าอี้มานั่ง “อาจคิดเรื่องอื่นอยู่”
“เรื่องอะไรล่ะ?” รอนมุ่นคิ้ว “ไม่มีเรื่องไหนที่แฮร์รี่จะคิดถึงนอกจากเรื่องพวกนั้นแล้วนะ ในเวลาแบบนี้” เขาเอ่ยกระซิบตอบแล้วหันไปมองเพื่อนรักอย่างกังวลเล็กน้อย
เฮอร์ไมโอนี่เดินกลับมาพร้อมลูน่า ขณะเดียวกันแพนซีและเดรโกก็เดินมาสมทบ ก่อนจะรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ว่าโต๊ะที่เบลสมันจะให้มานั่งเป็นโต๊ะเดี่ยวกับพวกแฮร์รี่ คนสุดท้ายคือเนวิลล์ที่ตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นสามสลิธีริน ก่อนก้มหน้างุดๆ ไปนั่งข้างๆ แฮร์รี่ทางซ้ายมือ
เบลสมุ่นคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อยเฮอร์ไมโอนี่นั่งข้างลูน่า ตรงข้ามกับรอน ซึ่งกำลังโอดครวญกับหนังสือที่แฟนสาวหยิบมา หลังจากทั้งคู่คุยกันสักพัก รอนเลยย้ายถิ่นไปนั่งใกล้ๆ กันกับแฟนสาว แฮร์รี่เองก็ขยับที่มานั่งข้างเนวิลล์เพื่อถามเรื่องสมุนไพร และถัดจากลูน่าก็มีที่ว่างสามที่
เบลสกระตุกยิ้มเมื่อรอนเปลี่ยนถิ่น เขารีบดันหลังแพนซี่ให้นั่งที่ใกล้ๆ ที่ของลูน่า ก่อนจะรีบนั่งถัดจากเพื่อนสาวทันทีอย่างไม่รีรอ และนั่นทำให้เรื่องที่นั่งว่างเพียงที่เดียวคือทางขวามือของแฮร์รี่ เดรโกยืนอึ้งเล็กน้อยเมื่อไอ้เพื่อนตัวดีมันแย่งที่นั่งไปเสียเฉยๆ แถมทำไม่รู้ไม่ชี้อย่างน่าหมั่นไส้อีกแน่ะ
เดรโกเลยต้องนั่งลงข้างแฮร์รี่ นัยน์ตาสีซีดมองยังร่างบางข้างกายเล็กน้อย อีกฝ่ายสะดุ้งหน่อยๆ เมื่อรู้ว่าเขานั่งลงข้างๆ นั่นทำให้เดรโกรู้สึกประหลาดใจ เมื่อครู่แฮร์รี่ยังดูเหม่อๆ อยู่เลย เขาเบนสายตาไปเหล่มองไอ้เพื่อนตัวดีที่นั่งปั่นการบ้านยิกๆ
ไอ้เบลสมันเล่นอะไรอีก...
เดรโกมุ่นคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนมองไปยังแฮร์รี่ที่เริ่มต้นเขียนรายงาน เขาเลิกคิ้ว
“ตรงนี้มันไม่ใช่อย่างนี้นี่” เขาขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วชี้นิ้วลงยังจุดที่ว่าบนกระดาษ

แฮร์รี่สะดุ้งนิดหน่อย นัยน์ตาสีมรกตดูลอกแลกแต่ก็มองไปยังจุดที่เขาบอก
“มานี่สิ” เดรโกคว้าปากกาขนนกในมือแฮร์รี่ไปเขียนให้ “มันต้องใช้นี่ต่างหากล่ะ”
“ข- ขอบคุณ...” แฮร์รี่เอ่ยเสียงแผ่ว
“ไม่เป็นไร” เดรโกยิ้มจางส่งให้
แฮร์รี่มองรอยยิ้มของอีกฝ่าย หัวใจเต้นระรัว ใบหน้าหวานขึ้นสีเล็กน้อยก่อนยิ้มตอบอีกฝ่ายนิดๆ แล้วเบนสายตาไปมองหนังสือ ก่อนหันไปถามเรื่องสมุนไพรเล็กๆ น้อยๆ จากเนวิลล์ แล้วเรียบเรียงเขียนรายงานต่อ โดยมีเดรโกคอยช่วยตรวจ ดูและแนะนำให้
เพื่อนร่วมโต๊ะอีกหกคนเหลือบมองคู่นี้เป็นระยะๆ แล้วหันไปกระซิบกระซาบหัวเราะกันเบาๆ ลูน่ามองทั้งคู่ด้วยสายตาเคลิ้มฝันแบบปกติ แต่กลับมีประกายความเอ็นดูและสุขสมรวมอยู่ด้วย เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มอย่างปิติ ขณะที่รอนเองก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เนวิลล์ดูผ่อนคลายลงมองเดรโกกับแฮร์รี่สลับกันแล้วยิ้มอกมาอย่างดีใจ ส่วนเบลสและแพนซี่ก็สบตากันพร้อมยิ้มอย่างพอใจ
แฮร์รี่คงไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาอยู่ใกล้เดรโก เจ้าตัวดูผ่อนคลายแค่ไหน ในขณะที่เดรโกเองก็ดูจะลดความหยิ่งเย็นชาลงไป มีเพียงความอบอุ่นที่แทรกเข้ามา และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาดีใจ ทีเหลือก็ขึ้นอยู่กับทั้งคู่ว่าจะทำยังไงต่อไป
ภายใต้ความมืดมิดที่ไร้ทางออก แสงสว่างถูกจุดขึ้นอย่างบางเบาอีกครั้ง...
...เชือกสีดำอีกสองพลันมลายหายไป
Comments